อนุสรณ์ ติปยานนท์ : อัตราส่วนแห่งรสชาติ

ปากะศิลป์ฉบับอ่านใหม่ (67)

อุทยานรส (13)

ชินจิ นากามูระ พบว่าชายฝาแฝดทั้งสองคนนั้นไม่เพียงแต่มีการสอดประสานกันในด้านท่าทางเท่านั้น หากแต่ในคำพูดของพวกเขาก็ยังประสานเป็นหนึ่งเดียวด้วยเช่นกัน

ในถ้อยคำที่เขาได้ยินเป็นประโยคนั้น ชายคนหนึ่งพูดบางคำ ในขณะที่ชายอีกคนพูดอีกบางคำ

ทว่าเมื่อผสมผสานกันแล้วจังหวะของเสียงที่ออกมาทำให้เขารู้สึกได้ว่าเป็นข้อความเดียว

ไม่น่าเชื่อว่าเขากำลังนั่งอยู่ท่ามกลางผู้คนที่ล้วนเป็นผู้ที่ยากจะพบพาน พวกเขาอาจดูผิวเผินราวกับเป็นคนทั่วไป ทว่าแต่ละคนล้วนเป็นตัวแทนของบางสิ่งที่อยู่ในอาหาร

หญิงที่มองไม่เห็นร่างของเธอเป็นตัวแทนของไฟ

ชายฝาแฝดสองคนนั้นเป็นตัวแทนของสมดุล

ชายชราเป็นผู้ตัดสินรสชาติ

ส่วนหญิงสาวสวยนั้นเป็นตัวแทนของสิ่งปรุงรส

คนอีกสามคนเป็นตัวแทนของเวลา มีเพียงหญิงสาวที่หวีผมไม่หยุดยั้งที่ชินจิ นากามูระ ยังไม่รู้ว่าเธอเป็นตัวแทนของสิ่งใด

การแก้ปริศนาเช่นนี้ทำให้ชินจิ นากามูระ ตระหนักว่า ที่เขาคิดว่าตนเองล่วงรู้เกี่ยวกับอาหารมากมายนักเป็นเพียงความคิดไปเองส่วนตน ณ เวลานี้เมื่อเขานั่งอยู่ท่ามกลางผู้คนที่ดูเหมือนจะเข้าใจในอาหารอย่างถ่องแท้ เขากลับรู้สึกว่าตนเองไม่ต่างจากทารกน้อยคนหนึ่งในโลกขององค์ความรู้เกี่ยวกับอาหาร

สมดุลนั่นหมายถึงการจัดการให้ลงตัวพอดีระหว่างรสชาติและวิธีการปรุง ไฟนั้นเป็นการควบคุมทุกสิ่งอย่างเหมาะสม สิ่งปรุงรสไม่อาจใส่ลงไปได้อย่างไม่ระวังและใคร่ครวญ ส่วนรสชาตินั้นเป็นเรื่องราวของการฝึกฝน การดื่มและกินอย่างพิถีพิถันย่อมขัดเกลามันขึ้นมาได้ในที่สุด

องค์ประกอบเหล่านี้ประกอบขึ้นราวกับดอกไม้ในอุทยานพฤกษศาสตร์ เพียงแต่อุทยานในที่นี้คืออุทยานรสนั่นเอง

ในที่สุดก็มีเสียงเปิดประตูอีกครั้งหนึ่ง เป็นเสียงโต้เถียงระหว่างชายและหญิง ฝ่ายหญิงตำหนิฝ่ายชายที่บอกเส้นทางผิดทำให้การเดินทางถึงที่หมายล่าช้า ส่วนฝ่ายชายนั้นตำหนิฝ่ายหญิงที่เสียเวลากับการแต่งตัวนานเกินไปจนแม้แต่จะออกเดินทางเร็วกว่านี้ก็ไม่ได้ทำให้ถึงจุดหมายเร็วขึ้น

เสียงโต้เถียงนั้นดังเข้าใกล้ตัวชินจิ นากามูระ ทุกขณะ จนมีใครบางคนลากเก้าอี้ข้างตัวของเขาและนั่ง ทว่ามันเป็นการลากเก้าอี้เพียงตัวเดียว มีเสียงของเก้าอี้ถูกขยับเพียงครั้งเดียว

ชินจิ นากามูระ เหลียวมองไปข้างกายเขามีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือเขาไม่อาจเรียกชายหนุ่มคนนี้ว่าเป็นเพศชายได้ถูกต้องนัก เพราะแม้ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาจะเป็นเพศชาย ใบหน้าอีกครึ่งของเขากลับเป็นเพศหญิง

ร่างกายของเขาก็เช่นกัน ในครึ่งหนึ่งมีลักษณะของเพศชาย แต่อีกครึ่งหนึ่งนั้นกลับมีทรวงอกเยี่ยงเพศหญิง
บุคคลผู้นี้อาจเรียกได้ว่ามีความเป็นชายและหญิงอย่างเท่าเทียมกัน

บุคคลผู้นั้นยื่นมือเรียวยาวคล้ายผู้ชายมาเบื้องหน้า ในฝ่ามือของเขามีถ้วยขนาดเล็กราวจอกชาอยู่ในมือ

แต่แทนการดื่มชาดังที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครู่ เขากลับคว่ำจอกลงกับพื้นโต๊ะแล้วเอานิ้วชี้กดก้นจอกไว้เบาๆ

หลังจากนั้นมืออีกข้างของเขาที่ละมุนละไมราวมือของเพศหญิงก็ถูกยื่นตามมา

ในฝ่ามือนั้นมีลูกตุ้มขนาดเล็กจิ๋วที่ใช้ชั่งน้ำหนักสมุนไพรอยู่ในมือ

“อัตราส่วน ในที่สุดท่านก็มาแล้ว” ชายชราแห่งรสชาติเอ่ยขึ้น

เสียงพูดของเพศชายดังขึ้น “หากไม่เป็นเพราะนางที่แต่งตัวช้า ข้าพเจ้าคงมาถึงเนิ่นนานแล้ว”

ไม่ทันขาดคำ เสียงจากเพศหญิงก็ดังติดตามมา “ข้าฯ หาได้เสียเวลาแต่งตัวนาน เป็นเพราะท่านที่มัวแต่เชื่อมั่นในความสามารถด้านทิศทางของตนเองจนป่านนี้ หากท่านไม่เชื่อการนำทางของข้าฯ ไฉนเลยเราจะมาถึงสถานที่นัดพบก่อนตะวันขึ้นได้เล่า”

เสียงโต้เถียงดังต่อเนื่องจากเรื่องของการเดินทางไปจนถึงเรื่องของชีวิตที่บ้าน ต่างฝ่ายต่างโต้เถียงถึงงานบ้าน งานในสวน งานในครัว หลังจากนั้นไปสู่เรื่องการใช้ชีวิตนอกบ้าน เสียงของเพศชายพูดถึงการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยทั้งเครื่องประทินโฉม เสื้อผ้าอาภรณ์ ในขณะที่เสียงของเพศหญิงพูดถึงการดื่มสุรา ไม่น่าเชื่อว่าเพียงการเข้ามาชั่วครู่ของบุคคลผู้นี้ ห้องทั้งห้องจะมีชีวิตชีวาขึ้นแทบจะในทันที

“สรุปว่าพวกท่านมาที่นี่เพื่อจะทุ่มเถียงกันใช่หรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าพเจ้าขอลา” หญิงสาวสวยลุกขึ้นจากโต๊ะในทันทีด้วยอาการไม่พอใจ ทว่ามือข้างหนึ่งที่เป็นเพศชายของบุคคลผู้นั้นกลับกุมแขนของเธอได้อย่างท่วงที เป็นการเคลื่อนไหวของมือที่รวดเร็วอย่างยิ่ง

“คิดไม่ถึงว่าท่านเป็นคนที่ขาดการปรุงรสไม่ได้ ขอเพียงเป็นรสชาติที่ไม่ถูกใจท่านก็คิดผละจากไปง่ายๆ กระนั้นหรือ?” เสียงของเพศชายเอ่ย

“เพื่อเป็นการขอโทษที่ทำให้พวกท่านต้องรอ ข้าฯ สองคนจะขอนึ่งหมั่นโถวให้พวกท่านได้กินเป็นการชดเชย”

ไม่ทันขาดคำ บุคคลผู้นั้นกระโจนออกจากเก้าอี้หายเข้าไปในครัว ชายฝาแฝดลงมือปรุงชาอีกครั้ง หญิงสาวสวยปรุงน้ำซุป ชายทั้งสามย่างหมู ส่วนหญิงผู้ไม่มีร่างกายจุดไฟตามที่ต่างๆ จนห้องทั้งห้องสว่างไสว มีแต่เพียงชายชราและหญิงสาวที่หวีผมอยู่กับที่เท่านั้นที่ยังคงนั่งอยู่ในที่เดิม

ชินจิ นากามูระ คิดว่าเขาควรเริ่มผูกมิตรกับสองคนที่เหลือ อย่างไรก็ตาม สำหรับชายชราผู้เป็นคนกลั่นกรองรสชาติแล้ว เขาไม่แน่ใจว่าจะมีบทสนทนาใดที่เหมาะสม ดังนั้น เขาจึงหันเหความสนใจมายังหญิงสาวผู้ที่หวีผมอยู่อย่างต่อเนื่อง เขาควรหาหนทางทำความรู้จักเธอเพื่อล่วงรู้ว่าเธอเป็นตัวแทนของสิ่งใดในอาหาร

“ท่านเคยหวีผมต่อเนื่องได้นานที่สุดนับเป็นชั่วโมงได้เท่าใด?”

หญิงสาวผู้นั้นหยุดการหวีผมของเธอ วางหวีลงบนโต๊ะอาหารและมองดูชินจิ นากามูระ ด้วยสายตาที่เป็นมิตร “ท่านสนใจการหวีผมของข้าพเจ้า เพราะเหตุใด มีสิ่งใดดลใจท่านหรือ?”

“ข้าพเจ้าไม่ได้สนใจเพียงการหวีผมของท่าน หากแต่ยังสนใจว่าท่านมีชื่อเรียงเสียงไร นอกจากนี้ ข้าพเจ้ายังสนใจว่าท่านมาที่นี่ได้อย่างไร และการชุมนุมที่นี่มีวัตถุประสงค์เยี่ยงไร ต่อจากนั้น ข้าฯ ยังสนใจว่าท่านจะไปที่ใดหนอหลังงานเลี้ยงที่นี่เลิกรา อีกทั้งยังสนใจว่าท่านรู้จักบุคคลเหล่านี้ได้อย่างไร และยังสนใจเกินเลยไปว่าท่านเป็นตัวแทนใดของอาหาร”

“แต่ถึงที่สุดแล้ว ข้าฯ รู้ดีว่าท่านไม่มีคำตอบใดๆ ให้แก่ข้าพเจ้าแน่นอน”

หญิงสาวผู้นั้นยิ้มให้กับชินจิ นากามูระ แน่นอนที่ข้าพเจ้าไม่มีคำตอบอื่นให้ท่าน เพราะหลายคำตอบท่านจะได้รับรู้เมื่องานเลี้ยงจบลง หลายคำตอบท่านจะได้รับรู้เมื่อเวลาผ่านไปหลายสิบปีนับจากนี้ แต่มีคำตอบหนึ่งที่ข้าฯ มอบให้แก่ท่านได้ ข้าฯ เป็นสิ่งใดหรือในตัวแทนของอาหาร ข้าฯ คือความทรงจำ ข้าฯ คือรอยรำลึกของอาหาร นั่นน่าจะเป็นคำตอบที่เที่ยงตรงที่สุดแล้ว”

“ความทรงจำของอาหาร รอยรำลึกของอาหาร มันคือสิ่งใด ข้าฯ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าแม้เพียงความทรงจำก็เป็นส่วนหนึ่งของอาหารได้”

“ความทรงจำเป็นส่วนหนึ่งของอาหารและอาจเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดด้วยซ้ำไป ท่านยังจดจำอาหารที่แม่ของท่านทำให้ท่านทานในคืนหนึ่งได้หรือไม่ แม้ว่ามันจะผ่านเลยไปเนิ่นนานแล้ว”

ชินจิ นากามูระ ค้อมศีรษะรับ

“สาเหตุที่ท่านจดจำอาหารมื้อนั้นได้ นั่นเป็นเพราะมีหลายสิ่งที่เกิดขึ้นในมื้อนั้น ท่านอาจหิวกระหายมากเกินไป ท่านอาจไม่เคยสัมผัสรสชาติเช่นนั้นมาก่อน ท่านอาจเห็นความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับมัน แต่ทั้งหมดนี้เกิดจากการที่อาหารได้ก่อรอยรูปความทรงจำในความคิดคำนึงของท่าน และเราจะประทับรอย

รำลึกเหล่านี้ลงไปในตัวเราอย่างไม่สั่นคลอน ท่านอาจเห็นเราหวีผมไม่หยุดหย่อน แต่นั่นเป็นเพราะมนุษย์ก่อร่างสิ่งไม่จำเป็นในความคิดคำนึงของพวกเขาอยู่เสมอ เราจึงจำเป็นต้องหวีผมเพื่อขจัดความคิดที่ไม่จำเป็นเหล่านั้น”

“ท่านขจัดความคิดเหล่านั้นเพื่ออะไร?”

“ก็เพื่อที่ข้าพเจ้าจะได้เข้าถึงรสชาติที่แท้จริงโดยไม่ตกกับดักหลอกล่อด้านความทรงจำ เราทุกคนล้วนเคยมีความเชื่อว่าเราเป็นอิสระ แต่ทว่าเรากลับไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยงในกรงที่แบกรับหลายสิ่งอันหนักอึ้งไว้บนบ่าของตน เรากินอะไรบางอย่างและก็แบกรับความทรงจำที่ว่านั้นลงไว้ในตัว เราเวียนกลับไปร้านอาหารเดิมที่เราชื่นชมว่าดีแม้คนอื่นจะไม่เห็นด้วยก็ตาม นั่นเป็นเพราะว่า-ความทรงจำที่มีต่ออาหารร้านนั้น-เป็นตัวกระตุ้นเรา”

“ดังนั้น เมื่อร้านดังกล่าวปิดลง สิ่งที่จบไม่ได้มีเพียงอาหาร แต่ยังมีความทรงจำของเราด้วย”

หญิงสาวหยิบหวีของเธอขึ้นถือ แต่แล้วก่อนที่เธอจะลงมือหวีผมต่อไป มีเสียงทะเลาะเบาะแว้งในครัว บุคคลที่เป็นทั้งชายและหญิงเดินออกจากครัวมา เขาวางอ่างไม้ลงบนโต๊ะ ภายในนั้นมีขนมปังนานาชนิดพร้อมด้วยซาลาเปาและหมั่นโถว

ชินจิ นากามูระ ไม่เคยเห็นขนมปัง ซาลาเปาและหมั่นโถวที่งดงามและชวนให้ลิ้มรสแบบนี้มาก่อนเลย

ชายชราใช้ตะเกียบเบื้องหน้าคีบชิ้นส่วนของหมั่นโถวเข้าปาก ก่อนจะเอ่ยว่า “อัตราส่วนเอย ท่านมีฝีมือที่ไม่แปรเปลี่ยนจริงๆ หลายสิบปีผ่านไป ท่านยังคงปรุงอาหารได้งดงามเหมือนเคย”

บุคคลผู้นั้นหัวเราะก่อนกล่าวต่อว่า

“หากจะมีบางสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปรเห็นจะมีแต่อัตราส่วนนี่เอง หากอัตราส่วนเปลี่ยนแปลงไปแล้ว สิ่งใดเล่าที่จะคงอยู่ ดูยังขนมปังเบื้องหน้าท่านสิ ไม่ว่าหน้าตามันจะเป็นเช่นใด มันกลับถือกำเนิดมาจากสิ่งเรียบง่าย เช่น ‘แป้งห้าส่วน น้ำสามส่วน’ อัตราส่วนสำคัญมีอยู่เพียงเท่านี้โดยแท้จริง”