แนวคิดของอิกบาล ว่าด้วยพระเจ้า ศาสดา และมนุษย์ในอิสลาม (จบ) /จรัญ มะลูลีม

จรัญ มะลูลีม
เซอร์ อัลลามะฮ์ มุฮัมมัด อิกบาล (Sir Allamah Muhammad Iqbal) นักคิด นักเขียน นักปรัชญา และนักการศาสนาของปากีสถาน (ค.ศ.1873-ค.ศ.1938)

มุมมุสลิม

จรัญ มะลูลีม

 

แนวคิดของอิกบาล

ว่าด้วยพระเจ้า ศาสดา และมนุษย์ในอิสลาม (จบ)

 

ความเป็นหนึ่งของพระเจ้าเป็นรากฐานของระบบความคิดของอิสลาม

พระเจ้าเป็นสิ่งปฐมและสิ่งที่อยู่ได้ด้วยตนเองอย่างเดียวและเป็นผู้สร้างความเป็นอยู่ทางปรากฏการณ์ทั้งหลาย

พระเจ้าสร้างโลกขึ้นมาจากการไม่มีอะไรเลย

พระองค์เป็นผู้นำทางกิจกรรมต่างๆ ของโลก ทุกสิ่งอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างเด็ดขาดของพระองค์

ถ้าจะขอให้อธิบายถึงลักษณะที่แท้จริงของคุณลักษณะและกิจกรรมแล้วมุสลิมธรรมดาก็จะถือว่าทั้งประมวลกิจกรรมของพระเจ้าหรือความมุ่งหมายของพระเจ้าในการสร้างสากลจักรวาลก็คือต้องการให้คนรู้จักและสรรเสริญในฐานะที่เป็นพระเจ้า นี่ก็จะหมายถึงความปรารถนาบางอย่างในตัวพระเจ้า

กลับกันนี่จะหมายถึงความไม่พอใจบางประการในส่วนของพระเจ้าซึ่งทำให้แนวความคิดเรื่องการดำรงอยู่อย่างสมบูรณ์เสียไป

ดังนั้น จึงมีความคิดว่าธรรมชาติและคุณลักษณะของพระเจ้าเป็นสิ่งที่เหลือจะกล่าว

มนุษย์ใฝ่ฝันที่จะรู้จักธรรมชาติของพระเจ้าเหมือนอย่างที่พยายามจะเข้าใจสิ่งต่างๆ โดยทั่วไป การแสวงหาความเข้าใจนี้เป็นเรื่องธรรมดาไม่มีอะไรผิด

แต่ความสามารถในการเข้าใจและใช้เหตุผลของมนุษย์นั้นมีจำกัด

เขาไม่สามารถช่วยฉายความคิดและประสบการณ์ของเขาเองไปสู่แนวความคิดเรื่องพระเจ้าได้ ดังนั้น เมื่ออัล-กุรอานกล่าวว่า พระเจ้าทรงสร้างสรรค์แลเห็น ฟังได้ ลงโทษได้ ฯลฯ นั้น มนุษย์ก็ออกจะเข้าใจถึงคุณลักษณะและกิจกรรมของพระเจ้าตามแบบของเขาเอง

นี่ย่อมก่อให้เกิดความยากลำบากและความขัดแย้งอย่างช่วยไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ก็มิได้พิสูจน์ว่าพระเจ้าไม่มีอยู่

เป็นเพียงสะท้อนให้เห็นพระเจ้าตามที่ปรากฏแก่เหตุผลที่ไม่สมบูรณ์ของเรา

เหตุผลอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดความลำบากในเรื่องความเข้าใจพระเจ้าก็คือเรามักจะคิดว่าการเข้าใจในพระเจ้าของเราเป็นอันเดียวกับพระเจ้าเอง

และคิดว่าใครๆ ที่ปฏิเสธความเข้าใจของเราเกี่ยวกับพระเจ้าย่อมปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้าเช่นนั้น

เราต้องยอมรับว่าพระเจ้านั้นเหลือที่จะกล่าว ถึงเราต้องยอมรับว่าพระเจ้าเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดซึ่งเราจะยอมตนให้

ถ้ารัศมีดวงอาทิตย์ไม่อาจเข้าใจดวงอาทิตย์ได้หรือน้ำหยดหนึ่งไม่อาจบรรจุน้ำทั้งมหาสมุทรได้ เราก็ย่อมไม่สามารถเข้าใจพระเจ้าได้ด้วยเช่นกัน

ถึงแม้ว่าเราอาจพิสูจน์ได้ว่าพระเจ้ามีอยู่ คุณลักษณะของพระองค์ก็ไม่ใช่เรื่องที่อาจพิสูจน์ได้ด้วยเหตุผล

มันเป็นเรื่องของความศรัทธา (Iman) อย่างไรก็ตาม นี่มิได้หมายความว่าความศรัทธาของเราจะต้องไร้เหตุผล เพียงแต่ “อยู่เหนือธรรมชาติ” เท่านั้น

ความพอใจของนักปรัชญา นักสังคมศาสตร์บางคนนั้นไม่ถูกต้องตามความคิดของพวกยึดถือจารีตหรืออิสลามดั้งเดิม การถือพระเจ้าองค์เดียวมิได้เป็นผลผลิตของความคิดที่ค่อยๆ เจริญขึ้นอย่างช้าๆ โดยอาศัยปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมของเขา

แต่เป็นศาสนาแรกหรือศาสนาดั้งเดิม ความคิดนี้ถูกเปิดเผยโดยพระเจ้านับตั้งแต่ศาสดาอาดัมเป็นต้นมา หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งความคิดของปรัชญานั้นเป็นผลิตผลของมนุษย์เองที่พยายามจะตีความสถานการณ์ของมนุษย์

ศาสนาที่ได้รับการเปิดเผยนั้นเลิศกว่าปรัชญาซึ่งหน้าที่ของมันมิได้เพื่อแข่งขันกับศาสนา แต่ต้องทำตัวเป็นสาวใช้เพื่อรับใช้ค่านิยมพื้นฐานที่ศาสนานิรันดร์สอนไว้ นั่นคือศาสนาอิสลามนับตั้งแต่ศาสดาอาดัมเป็นต้นมา

สิ่งที่เรียกว่ากฎธรรมชาติซึ่งเป็นผู้วางระเบียบเหตุการณ์ในธรรมชาตินั้น ความจริงก็คือคำบรรยายถึงพฤติกรรมอันเป็นแบบเดียวกันตามคำสั่งของพระเจ้า ดังนั้น แทนที่จะให้แนวความคิดเรื่องพระเจ้าอย่างฟุ่มเฟือย กฎเกณฑ์เหล่านี้จึงประกาศถึงความยิ่งใหญ่ ปรีชาญาณและความเมตตาปรานีของพระเจ้า โดยอาศัยกฎเกณฑ์เหล่านี้เองที่พระเจ้าทำให้มนุษย์สามารถควบคุมธรรมชาติของผลกำไรของเขาเองได้

กฎเกณฑ์เหล่านี้มิได้จำกัดอำนาจของพระเจ้าแต่ประการใดเลย พระองค์ทรงสามารถเปลี่ยนแปลงเขาได้ตามพระประสงค์ ปาฏิหาริย์มิใช่อะไรอื่นนอกจากการแสดงอำนาจของพระเจ้าในชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพระเจ้ามีความยุติธรรม พระองค์จึงมักไม่เข้ามาแทรกแซงในการทำงานของกฎเกณฑ์เหล่านี้

เป็นเหตุให้เหตุการณ์ของโลกถูกควบคุมด้วยกฎเกณฑ์อันเป็นประจำและมีรูปแบบเดียว

โดยวิธีนี้พระเจ้าผสมผสานความมีอำนาจทั่วของพระองค์เข้ากับความเป็นหนึ่งของธรรมชาติ

พระเจ้าทรงทราบอนาคตล่วงหน้า แต่ความรู้ล่วงหน้ามิได้ทำให้มนุษย์ขาดจากเจตนารมณ์อิสระของเขาแต่อย่างใด

แต่เรามิอาจตำหนิคุณลักษณะของพระเจ้าสำหรับการทำชั่วของมนุษย์ในโลกนี้

เหตุร้ายทางกายภาพอย่างเช่นนั้นท่วม แผ่นดินไหวโรคภัยไข้เจ็บ อุบัติเหตุ ฯลฯ ย่อมขัดกับความเมตตาปรานีของพระเจ้า แต่ตามความเข้าใจดั้งเดิมในสิ่งที่เราคิดว่าเป็นเรื่องชั่วร้ายอาจจะไม่ร้ายเลยก็ได้

เหตุผลของมนุษย์นั้นมีจำกัดถ้าเราไม่สามารถเข้าใจถึงปรีชาญาณของพระเจ้าได้ก็ไม่น่าแปลกใจเลย

ความเป็นศาสดา

ศาสนทูตของพระเจ้าได้ปรากฏตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกหนทุกแห่ง เพื่อตักเตือนและนำทางผู้คนให้เดินไปในทางที่เที่ยงตรง แต่ซาตานหรือชัยฏอน (มารร้าย) ก็คอยล่อลวงมนุษย์ให้หลงทางไปอยู่เสมอ ความขัดแย้งระหว่างความดีและความชั่วเป็นแนวเรื่องละครของโลกที่ไม่เคยยุติเลย

กฎหมายของพระเจ้าซึ่งถูกกำหนดเป็นครั้งเป็นคราวโดยศาสนทูตของพระองค์นั้นมีไว้สำหรับชุมชนต่างๆ แต่อัล-กุรอานที่เปิดเผยให้แก่ศาสดาในศตวรรษที่ 7 นั้นมีไว้สำหรับมนุษย์ทุกคนและทุกกาลเวลา อัล-กุรอานจะยกเลิกวะฮีย์ (วิวรณ์) เก่าๆ ทุกวะฮีย์กลายเป็นกฎเกณฑ์แห่งสัจธรรมอย่างเดียวในทุกๆ เรื่อง ในกรณีที่เหตุผลของมนุษย์ขัดแย้งกับคำกล่าวในอัล-กุรอาน อย่างแรกย่อมผิด

มุสลิมที่ดี (ตามความคิดแบบเดิม) คือผู้ที่ไม่กังวลในเรื่องพระดำรัสของพระเจ้าเกี่ยวกับประมวลกฎเกณฑ์และกลไกแห่งวะฮีย์หรือการวิวรณ์ของพระเจ้า

แต่กระทำตามคำตรัสของพระองค์ สิ่งสำคัญสำหรับการรอดพ้นนั้นมิใช่ความชัดเจน แต่เป็นความศรัทธา ความปรารถนา

ด้วยเหตุนี้ ความชัดเจนคือความคิดวิตถารของนักปรัชญามากกว่าจะเป็นมงกุฎของผู้ศรัทธา