อนุสรณ์ ติปยานนท์ : วัตถุดิบสำคัญที่ไม่อาจมองเห็น

ปากะศิลป์ฉบับอ่านใหม่ (65)

อุทยานรส (11)

“หนึ่งส่วน สองส่วน สามส่วน
โลกถูกแบ่งเป็นสาม
นรก สวรรค์ และตัวข้าฯ เอง”
บทกวีของชินจิ นากามูระ

ชินจิ นากามูระ นับจำนวนคนที่โต๊ะอาหาร นอกจากหญิงสาวคนเดิม ชายชรา หญิงสาวสวย ชายหนุ่มอีกสามคน รวมถึงตัวเขาด้วยเป็นจำนวนเจ็ดคน หากแต่ชุดอาหารมีอยู่สิบสามชุด ดังนั้น หมายความว่าจะมีคนมาเพิ่มอีกหกคน

หากแต่ว่าเขา ตัวเขาเล่าถูกนับในฐานะผู้ร่วมโต๊ะหรือเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ เขาไม่แน่ใจ ทว่าดังที่เขารู้สึก ค่ำคืนนี้เป็นค่ำคืนที่ยาวนานและเขายังมีเวลาอีกมากมายนักที่จะรอคำตอบจากปริศนานี้

ชายสามคนนำหมูที่สุกแล้วลงจากกองไฟ พวกเขาแล่เนื้อหมูทีละส่วนอย่างชำนาญ

หญิงสาวคนแรกที่นั่งอยู่หัวโต๊ะได้รับสมองหมูที่ถูกผ่าออกจากหัวหมูเป็นอาหาร

ชายชราคนถัดมาได้รับหูของหมูเป็นอาหาร

ส่วนหญิงสาวสวยผู้นั้นได้รับคอของหมู เหลือเพียงชินจิ นากามูระ ที่ในจานของเขายังว่างเปล่า

นี่เป็นครั้งแรกที่ดูเหมือนว่าเขาจะต้องร่วมวงอาหารกับบุคคลประหลาดในที่นี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ชายหนุ่มสามคนวางหมูทั้งตัวไว้บนโต๊ะ พวกเขาหันมาปรึกษากัน ชินจิ นากามูระ ไม่ได้ยินเสียงปรึกษา แต่เขารู้ดีว่าเรื่องที่ชายทั้งสามกำลังปรึกษากันนั้นคือส่วนใดของหมูที่เขาควรได้รับเป็นอาหาร

การปรึกษาดำเนินอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่ชายคนหนึ่งจะหั่นหางหมูทั้งท่อนออกเป็นส่วนเล็กๆ และนำใส่จานมาไว้ที่เบื้องหน้าเขา ชิ้นส่วนของหมูถูกวางลงเบื้องหน้า

หลังจากนั้นชายทั้งสามแบ่งส่วนในกระเพาะอาหารของหมู ทั้งตับ ม้าม ลำไส้ ลงในจานของตน

พวกเขานั่งลงในแถวเดียวกับบุคคลอื่น โต๊ะอาหารถูกแบ่งเป็นสองฟากชัดเจนแล้ว ฟากหนึ่งมีคนนั่งอยู่หกคน อีกฟากหนึ่งมีคนนั่งเพียงคนเดียวคือ ชินจิ นากามูระ

แต่สิ่งที่สำคัญก็คือไม่มีใครแตะต้องชิ้นส่วนของหมูที่เบื้องหน้าของตนเลย

มันเป็นดังงานเลี้ยงที่เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ที่ไม่มีใครมองเห็น

ทุกคนบนโต๊ะอาหารไม่มีใครขยับตัว หลังชิ้นส่วนของหมูถูกวางลงบนเบื้องหน้า มันก็ไม่ใช่อาหารอีกต่อไป

ชิ้นส่วนของหมูกลายเป็นสัญลักษณ์บางอย่าง

สัญลักษณ์ที่รอการตีความจากอาคันตุกะคนอื่น

แม้จะอยู่ในสภาพที่อึดอัด แต่ชินจิ นากามูระ กลับพบว่าตนเองปลอดโปร่งใจอย่างบอกไม่ถูก นับตั้งแต่การออกเดินทางมาจากกรุงโซลจนถึงสถานที่แห่งนี้

เขาพบว่า ณ เวลานี้เองที่เขารู้สึกเป็นอิสระ ไม่มีผู้บังคับบัญชา ไม่มีผู้ใต้บังคับบัญชา เขาได้กลายเป็นนายของตนเอง

การละเล่นในคืนนี้เป็นการละเล่นที่ทำให้เขาหวนนึกถึงวัยเด็ก เป็นการเล่นซ่อนหาแบบหนึ่ง

บุคคลแปลกประหลาดปรากฏตนในที่นี่หกคน จานอาหารและตะเกียบมีอยู่สิบสามชุด ดังนั้น จะต้องมีบุคคลมาเพิ่มอีกเจ็ดคน เพียงแค่หกคนเรื่องราวก็ยากจะหยั่งถึงแล้ว หากเพิ่มบุคคลอีกเจ็ดคน เรื่องราวคงลึกลับสุดประมาณ

ชินจิ นากามูระ หลงใหลในความลึกลับเสมอมา เขาอยู่ในอาการสงบนิ่งและเฝ้ารออาคันตุกะคนต่อไป

ราวครึ่งชั่วโมงที่ทุกคนในห้องนั่งอยู่กับที่ราวกับตกอยู่ในภวังค์ หญิงสาวคนแรกหยิบหวีของเธอที่ได้มาใหม่หวีผมต่อไปไม่หยุดยั้ง

ชายชรานั่งหลับตาอยู่กับที่

หญิงสาวสวยทำความสะอาดเล็บของเธอทีละนิ้ว

ชายทั้งสามคนนั่งจ้องมองไปเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย

ส่วนชินจิ นากามูระ นั้นนั่งเพ่งมองหางหมูที่อยู่ในจานของเขา

ครั้นแล้วก็มีเสียงลมที่พัดผ่านเข้ามาทางประตูอย่างแรง บานประตูเปิดออกก่อนที่จะปิดลงอย่างฉับพลัน

ทุกคนในห้องหันไปมองที่ประตู มีแรงลมที่พุ่งผ่านทุกคนไป ไม่นานนักมีเสียงการปรุงอาหารในครัว มีกลิ่นของอาหารอันเย้ายวนโชยมาจากในครัว

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีร่างของบุคคลใดให้ประจักษ์เห็นเลย แต่กระนั้นทุกคนล้วนรับรู้ได้ว่ามีใครบางคนที่กำลังปรุงอาหารอยู่ในครัว

ชายชราลืมตาขึ้นจับตะเกียบในมือ หญิงสาวที่หวีผมวางหวีลงจับตะเกียบในมือ ส่วนหญิงสาวสวยก็หยุดทำความสะอาดเล็บของนาง

ชายหนุ่มทั้งสามคนหยุดอาการเหม่อลอย

ทุกคนเตรียมพร้อมสู่การกินอาหาร

ชินจิ นากามูระ แปลกใจกับท่าทางเหล่านั้น เขาเองไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการกระทำตาม เขาหยิบตะเกียบที่วางอยู่ขึ้นถือจนมั่นคงในมือ และก่อนที่เขาจะรู้สึกตัว อาหารจานหนึ่งก็ถูกวางลงเบื้องหน้าเขา เป็นอาหารจานเล็กที่คล้ายดังของว่างในงานเลี้ยงทั่วไป

อาหารจานนั้นเป็นมะเขือเทศที่ผัดกับเห็ดมัตซึตาเกะ เป็นเห็ดมัตซึตาเกะที่เขาเป็นผู้เก็บมาในยามบ่ายของวันนี้เอง

“เห็ดมัตซึตาเกะผัดกับมะเขือเทศด้วยน้ำมันจากต้นสน ขออภัยที่มาช้าเกินควร หวังว่าทุกท่านจะให้อภัย หลังกินของว่างจานนี้แล้ว ข้าพเจ้าจะปรุงน้ำส้มดองจากกล้วยป่าสำหรับกินกับเนื้อหมู ขอให้ท่านอิ่มเอมกับอาหาร ผิวของมะเขือเทศและเห็ดมัตซึตาเกะล้วนให้รสชาติที่พิเศษเฉพาะ ข้าพเจ้าจึงนำมันมาปรุงร่วมกัน นี่เป็นการทดลองปรุงครั้งแรกอาจไม่ดีนัก ต้องขอบคุณพวกท่านที่เตรียมเห็ดชั้นเลิศเช่นนี้ไว้ให้ข้าพเจ้า”

มีเสียงพูดของใครบางคนที่ไม่ปรากฏตัว ชินจิ นากามูระ มองไปรอบๆ แต่ไม่มีผู้ใด กระนั้นก็มีเสียงพูดที่ได้ยินอย่างชัดเจน เป็นเสียงของหญิงสาววัยกลางคนที่ทรงพลังยิ่ง

“ขอบคุณท่านป้า-เงา- ข้าพเจ้าหิวจนแทบตายแล้ว” หญิงสาวสวยกล่าวก่อนที่เธอจะใช้ตะเกียบในมือคีบมะเขือเทศกับเห็ดขึ้นทานอย่างออกรส

ชินจิ นากามูระ ลงมือทำตาม เขาค่อยๆ บรรจงคีบอาหารที่เรียบง่ายจานนี้ใส่ปาก แม้ว่ามันจะเรียบง่ายแต่มันกลับมีรสชาติที่เป็นเลิศ ในระหว่างคำนั่นเองที่เขาพบว่าทั้งเห็ดมัตซึตาเกะและผิวเปลือกของมะเขือเทศมีบางสิ่งที่มีคุณสมบัติร่วมกันอยู่จริงดังคำกล่าวจากเสียงของคนที่มองไม่เห็นนั่น

ไม่นานนัก อาหารในจานก็หมดลง ถ้วยน้ำจิ้มถูกวางลงเบื้องหน้าโดยไม่ปรากฏคนวางเช่นเคย ชายชราใช้ตะเกียบคีบเนื้อหมูในมือ ไม่นานนักควันกรุ่นก็ลอยออกจากเนื้อหมู บุคคลอื่นก็ทำแบบนั้นเช่นกัน กลิ่นของหมูที่ถูกอุ่นจนสุกอีกครั้งหอมอบอวล มีเพียงชินจิ นากามูระ ที่กระทำเช่นนั้นไม่ได้ เขาคีบหางหมูในมือไว้กลางอากาศด้วยอาการอับจนปัญญา จนปรากฏเสียงพูดที่ไม่เห็นตนอีกครั้ง

“ท่านน่าจะทำเช่นพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้ ข้าพเจ้าช่วยท่านเอง”

เหมือนมีกระแสลมวูบหนึ่งพัดผ่านหน้าของชินจิ นากามูระ ตามมาด้วยไอร้อน หางหมูที่ตะเกียบของชินจิ นากามูระ สุกขึ้นมาในพลัน เขาจุ่มมันลงกับน้ำจิ้มเบื้องหน้า เป็นการกินเนื้อหมูที่มีรสอร่อยที่สุดเท่าที่เขาเคยกินมา

“ในการปรุงอาหารมีวัตถุดิบบางอย่างที่ท่านไม่อาจมองเห็นแต่กลับเป็นวัตถุดิบสำคัญ นั่นได้แก่ ‘ความร้อน’ ความร้อนนั้นเปรียบเสมือน-เงา-ชนิดหนึ่งของอาหาร มันปรากฏตัวอยู่ในอาหารแทบทุกจาน แต่เราไม่เคยตระหนักถึงพลังและอานุภาพของมันเลย”

เสียงพูดนั้นปรากฏอีกครั้งก่อนที่จะเสมือนมีใครบางคนนั่งลงที่เก้าอี้ว่างฝั่งตรงข้าม หนึ่งในชายสามคนนั้นหั่นขาหมูท่อนบนวางลงบนจานเบื้องหน้าเก้าอี้ตัวหนึ่ง ตะเกียบที่จานลอยขึ้นเคว้งกลางอากาศก่อนจะเข้าคีบขาหมูชิ้นนั้นจิ้มลงกับน้ำจิ้ม

ไม่ต้องสงสัยเลย ชินจิ นากามูระ แน่ใจแล้วว่ามีใครบางคนอยู่ตรงนั้น เพียงแต่เขามองไม่เห็นเท่านั้นเอง

จากขาหมูที่เป็นส่วนของหมูชิ้นต่อไปทำให้ชินจิ นากามูระ ตระหนักได้ว่าทุกคนบนโต๊ะนั่งตามลำดับส่วนร่างกายของหมู จากสมองที่อยู่ปลายโต๊ะด้านหนึ่งมาถึงเขาที่เป็นหางหมูยังปลายโต๊ะอีกด้าน ตอนนี้มีคนมาครบแปดคนแล้ว

ยังเหลืออีกเพียงห้าคนที่จะติดตามมา