รายงานพิเศษ/The Return of “บิ๊กป้อม” คนเดิมที่ไม่เหมือนเดิม กับ Mission Possible ภารกิจเหนืออื่นใด จับตากองทัพระส่ำ

รายงานพิเศษ

The Return of “บิ๊กป้อม” คนเดิมที่ไม่เหมือนเดิม กับ Mission Possible ภารกิจเหนืออื่นใด จับตากองทัพระส่ำ

การกลับมาของ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ในรัฐบาล พี่ใหญ่ คสช. และบูรพาพยัคฆ์ ทำให้บิ๊กๆ ทหาร และลูกน้องใจชื้นขึ้นมาไม่น้อย

แม้ พล.อ.ประวิตร พี่ชายแสนที่ดีของน้องๆ ในกองทัพ ที่กลับมาครั้งนี้จะไม่เหมือนเดิมก็ตามที

แต่ก็ยังดีกว่าช่วงเกือบ 2 สัปดาห์ที่บิ๊กป้อมหายเงียบ จมหายไปในกระแสข่าวลือ ที่เรียกได้ว่า ลือกันรุนแรงหนักหน่วง

แม้จะมีความชัดเจนว่า พล.อ.ประวิตร ไปรักษาสุขภาพ หลังจากที่ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่าพี่ใหญ่ไม่สบาย

แต่ครั้งนี้ ก็เชื่อกันว่าหนักกว่าทุกครั้ง เพราะถึงขั้นที่ไม่สามารถมาร่วมประชุม คสช. และคณะรัฐมนตรี เมื่อ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมาได้ ทั้งๆ ที่เพิ่งเกิดเหตุระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ

แถมเป็นระเบิดในวันเกิดครบรอบ 3 ปี คสช. และจงใจก่อเหตุในห้อง “วงษ์สุวรรณ”

เมื่อ พล.อ.ประวิตร กลับมาปรากฏตัวครั้งแรกที่กระทรวงกลาโหม เมื่อ 29 พฤษภาคมที่ผ่านมานั้น แม้จะทำให้ลูกน้องใจหายกับสภาพร่างกายที่อิดโรย ทรุดโทรม ตามประสาคนที่เพิ่งลุกจากเตียงคนไข้

 

แต่ก็ยังดีกว่าที่หายไปเลย ท่ามกลางกระแสข่าว “พักยาว” เช่นที่ร่ำลือกันในเวลานั้น

แม้จะมีนายทหารที่ใกล้ชิด แบบที่ได้ชื่อว่า “น้องรักบิ๊กป้อม” ไม่กี่คนที่รู้ว่า พล.อ.ประวิตร ต้องถูกแอดมิตเข้านอนโรงพยาบาล เป็นครั้งแรกในชีวิต หลังเกิดอาการ “วูบ” ที่เป็นผลมาจากเส้นเลือดหัวใจตีบตัน และมีอาการแทรกซ้อนอื่นร่วมด้วย

แถมมีคำสั่งให้ปิดข่าว ด้วยการบอกว่าเดินทางไปต่างประเทศ จึงยิ่งทำให้กระแสข่าวลือต่างๆ ยิ่งสะพัดแรง

แต่มาวันนี้ ทุกคนที่ได้พบเห็น พล.อ.ประวิตร แล้ว ต่างก็สะท้อนใจ และพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า สงสาร

ทั้งที่อายุเกือบจะ 73 แล้ว แต่ยังต้องมาทำงานหนักตลอด 3 ปีของการเป็น คสช. และรัฐบาล ที่อาจส่งผลให้ต้องถูกหามเข้าโรงพยาบาลเช่นวันนี้

ที่ยิ่งกว่านั้น เมื่อไปผ่าตัดรักษามาแล้ว แทนที่จะได้นอนพักฟื้นจนกว่าจะหายเป็นปกติ ก็กลับต้องรีบออกจากโรงพยาบาลมาทำงานในสภาพที่อิดโรย อ่อนแรง ผมเผ้าเบาบางลง พูดช้า เดินช้า เสียงเบาค่อย แหบหายไปในลำคอเป็นบางช่วง และบางคำพูดก็คล้ายพูดไม่ชัด

โดยเฉพาะร่างกายที่ซูบลง พุงยุบลง ที่ พล.อ.ประวิตร ระบุว่า น้ำหนักลดไป 10 กิโลกรัม

แต่กระนั้น ก็ไม่อยากที่จะบอกเล่าเรื่องอาการป่วย หรือการรักษาใดๆ เพียงแค่บอกว่า “ไม่เป็นไรมาก เป็นนิดหน่อย ขอเวลาอีก 10 วันก็จะกลับคืนแล้ว”

ด้วยเพราะเป็นรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ที่รับผิดชอบโดยตรง เมื่อเกิดเหตุระเบิดขึ้น ย่อมไม่อาจนอนรักษาตัวได้ตามกำหนด เพราะเขาหายตัวไปหลังเสียงระเบิดตูมแรกที่ข้างสนามหลวง ตามมาด้วยตูมที่ 2 ในโรงพยาบาล ทบ.

โดยเฉพาะห้องรอรับยา “วงษ์สุวรรณ” ที่ต้องการจะส่งสัญญาณบางอย่างไปถึง พล.อ.ประวิตร ด้วย

“จะส่งสัญญาณอะไรมา ผมก็ไม่กังวล” บิ๊กป้อมกล่าว โดยไม่ปฏิเสธว่าเป็นการส่งสัญญาณ

เพราะข้อสันนิษฐานหนึ่งของตำรวจ ที่มีการเชิญตัวเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ มาสอบสอบนั้น เพราะหวั่นว่าจะเป็นเรื่องความขัดแย้งในโรงพยาบาล ที่รู้กันดีว่าบิ๊กในโรงพยาบาลก็เป็นน้องรักของ พล.อ.ประวิตร

แต่ประเด็นนี้ก็ยังอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนกันอยู่ แต่ให้น้ำหนักน้อย เพราะคีย์แมนประเทศ ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และ บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. หรือแม้แต่ บิ๊กแป๊ะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ก็ให้น้ำหนักในเรื่องการเมืองมากกว่า

ที่สำคัญ เป็นเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นหลังกระแสความพยายามลอบสังหารผู้นำประเทศได้ไม่นานนัก หลังจากที่มีการจับกุมอาวุธสงคราม เครือข่าย “โกตี๋” ได้ที่ลำลูกกาก่อนหน้านี้

ทำให้ต้องมีการ รปภ. พล.อ.ประยุทธ์ เข้มงวดมากขึ้น รวมถึงการที่ พล.อ.เฉลิมชัย ส่งทหารรบพิเศษ “กองพันจู่โจม” ไปเพิ่มที่ทำเนียบรัฐบาล ดูแล พล.อ.ประยุทธ์ จากเดิมที่มีอยู่แล้ว

แถมทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ เองก็มีทีม รปภ. จากทหารเสือราชินี ร.21 รอ. อยู่แล้วด้วย แต่ก็เพื่อความไม่ประมาท

และเป็นผลให้ต้องมีการปิดข่าวความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประวิตร เพื่อการรักษาความปลอดภัย แม้จะมีปัญหาเรื่องสุขภาพก็ตาม

จึงไม่แปลกที่จะมีกำลังใจหลั่งไหลให้ พล.อ.ประวิตร ที่กลับมาอยู่บ้าน ใน ร.1 รอ. และต้องไปหาหมอทุกวัน เพราะอาจไม่ใช่แค่เส้นเลือดหัวใจ แต่อาจรวมถึงระบบไตด้วยหรือไม่

ตามปกติ ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ ของ พล.อ.ประวิตร ใน ร.1 รอ. ก็จะมีนายทหารทุกเหล่าทัพ ตำรวจ แวะเวียนมาทานข้าวต้ม หรือโจ๊ก ในตอนเช้า เพื่อพบปะ หรือให้ พล.อ.ประวิตร เห็นหน้าทุกวันแบบที่เรียกว่าหนาแน่น จนต้องมีการทำบัตรเข้ามูลนิธิเลยทีเดียว

มาตอนนี้ น้องๆ ในกองทัพ และผองเพื่อนเตรียมทหาร 6 ต่างก็ไปหา พล.อ.ประวิตร กันทุกวัน เพื่อให้กำลังใจ และอวยพรให้หายเร็วๆ

แม้ในทางปฏิบัติ หมอต้องการให้ พล.อ.ประวิตร พักผ่อนมากๆ ก็ตาม แต่ตามสไตล์บิ๊กป้อม ที่มีเพื่อน พี่น้องเยอะแยะมากมาย ก็ยังคงต้องการกำลังใจ

แต่ต้องยอมรับว่า หลังจากสานฝันราชนาวี ช่วยผลักดันให้กองทัพเรือได้ซื้อเรือดำน้ำจีนลำแรกสำเร็จแล้ว ท่ามกลางเสียงวิจารณ์อย่างหนักที่ ครม. อนุมัติเงียบ ให้เป็นเรื่องลับ พล.อ.ประวิตร ก็ล้มป่วยลง

อีกทั้งกำลังผลักดันกระบวนการปรองดองฯ ที่มาได้ค่อนทางแล้ว เพราะมีการจัดทำเอกสารความเห็นร่วมฉบับสมบูรณ์ ที่เป็นผลมาจากการรับฟังความเห็นพรรคการเมือง กลุ่มการเมือง และภาคประชาสังคม โดย บิ๊กช้าง พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกลาโหม และนำมาบูรณาการข้อคิดเห็น โดย บิ๊กปุย พล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ ผบ.ทหารสูงสุด และกำลังรอคณะกรรมการชุดของ พล.อ.เฉลิมชัย ผบ.ทบ. ร่างออกมาเป็น “สัญญาประชาคม”

ทั้งหมดนี้ก็เป็นไอเดียและอยู่ในการผลักดัน กำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร มาตั้งแต่ต้น

จึงไม่แปลกที่นายทหารใกล้ชิดจะบอกว่า พล.อ.ประวิตร ก็เป็นเหมือนคนแก่คนหนึ่ง ที่เมื่อไม่สบาย ก็ต้องการกำลังใจจากน้องๆ ลูกๆ หลานๆ

ท่ามกลางการถูกจับตามองว่า เขาจะกลับมาเป็นบิ๊กป้อมคนเดิมที่เสียงดังฟังชัด มีหลากหลายอารมณ์ โดยเฉพาะในวงให้สัมภาษณ์ ที่เคยมีชี้หน้า กราดด่าหรือโวยตามสไตล์บิ๊กป้อม ได้หรือไม่

เพราะวันนี้ พล.อ.ประวิตร มีน้ำเสียงราบเรียบ ช้าๆ นิ่งๆ ไม่มีอารมณ์ใดๆ แต่พยายามจะส่งยิ้มเพื่อสื่อว่าดีขึ้นแล้ว

ตอนนี้ จึงมีการมองข้ามช็อตไปแล้วว่า สุขภาพของ พล.อ.ประวิตร จะส่งผลต่อรัฐบาล และ คสช. หรือไม่

หากว่าในที่สุดแล้ว พล.อ.ประวิตร อาการไม่ดีขึ้น อาจถึงขั้นต้องหลุดจากคณะรัฐมนตรีหรือไม่

ยิ่งในยามที่ พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐบาล คสช. กำลังสู้ศึกกับนักการเมือง นับถอยหลังสู่การเลือกตั้งในปลายปี 2561 หลังจากที่ท่าทีและคำพูดของบิ๊กตู่ ทำให้เกิดกระแสการยื้อเลือกตั้ง เลื่อนโรดแม็ปออกไป โดยเฉพาะ 4 คำถามของนายกฯ ที่ถามประชาชน ที่ถูกมองว่าเป็นคำถามชี้นำ ที่จะนำไปสู่การเลื่อนเลือกตั้ง

ดังนั้น ไม่ว่าจะอย่างไร ต่อให้ พล.อ.ประวิตร ไม่อาจกลับมาแข็งแรงเท่าแต่ก่อนได้ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็จะไม่ปรับพี่ชายออกจาก ครม. แน่

แม้ที่ผ่านมาจะมีแรงเชียร์ และเลื่อยขาเก้าอี้ พล.อ.ประวิตร มาตลอดเกือบ 3 ปีก็ตาม

ด้วยอายุและสุขภาพที่ไม่แข็งแรง อาจส่งผลให้ พล.อ.ประวิตร อาจต้องออกงานให้น้อยลง จากเดิมที่มีงานทุกวัน วันละหลายงาน ทั้งที่กลาโหม ทำเนียบรัฐบาล และกระทรวงต่างๆ ที่รับผิดชอบ มาเป็นการทำงานที่บ้าน ร.1 รอ.

โดยมี บิ๊กโด่ง พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม รับออกงานต่างๆ แทน แต่ทว่า การตัดสินใจและสั่งการใดๆ ยังคงอยู่ที่ พล.อ.ประวิตร

เรียกได้ว่า บารมีของพี่ใหญ่อย่าง พล.อ.ประวิตร ยังจำเป็นต่อความกลมเกลียว เป็นเอกภาพของรัฐบาล คสช. และกองทัพ รวมไปถึงตำรวจด้วย

แม้ พล.อ.ประวิตร ถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อ จนต้องหลุด ครม. แต่ก็เชื่อกันว่าเขาจะทำหน้าที่รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และ รมว.กลาโหม โดยพฤตินัยต่อไปนั่นเอง

พล.อ.ประยุทธ์ เคยเอ่ยปากว่า การจะหา รมว.กลาโหม ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องเป็นคนที่ได้รับการยอมรับจากกองทัพ นั่นหมายถึงว่า พล.อ.ประวิตร เหมาะสมที่สุดแล้ว

“ผมไม่เคยคิดจะปรับ พล.อ.ประวิตร ออกจาก ครม.” นายกฯ ย้ำเสมอ

เพราะสายสัมพันธ์พี่น้อง 3 ป. บูรพาพยัคฆ์ ทั้ง พล.อ.ประวิตร พล.อ.ประยุทธ์ และ บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา นั้นยากที่จะแยกวง

แต่ถ้าเป็นเหตุผลเรื่องสุขภาพ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง…

เพราะหากจำเป็นจริงๆ พล.อ.ประยุทธ์ ก็จะควบ รมว.กลาโหม ด้วยตนเอง เพราะที่ผ่านมา เขาก็มีอำนาจในการตัดสินใจเหนือกว่า พล.อ.ประวิตร โดยเฉพาะการเลือก ผบ.เหล่าทัพ และแม่ทัพนายกอง ในการแต่งตั้งโยกย้ายทหารครั้งที่ผ่านๆ มา

“ถ้าไม่ไหว ผมก็ไม่ทำงานแล้ว” พล.อ.ประวิตร เปรย

แม้ว่าทุกครั้งที่ถูกถามว่า “ไหวมั้ย” พล.อ.ประวิตร จะคิดก่อนที่จะตอบว่า “ไหวสิ” เพราะเขารู้สภาพร่างกายตัวเองดีที่สุด

พยัคฆ์นักรบแห่งแดนบูรพา ที่กรำศึกชายแดนไทย-กัมพูชา และรบกับคอมมิวนิสต์มาอย่างโชกโชน เมื่อกว่า 40 ปีที่แล้ว ที่สุดต้องมาอยู่ในสภาพเช่นนี้ พล.อ.ประวิตร ก็ไม่ชอบตนเองในสภาพเช่นนี้ เขาจึงไม่อยากพูดถึงอาการป่วยของตนเอง

แต่เพราะภารกิจที่จะต้องต่อสู้เคียงข้าง พล.อ.ประยุทธ์ น้องรัก ยังคงรออยู่เบื้องหน้า แถมเป็นช่วงสำคัญหัวเลี้ยวหัวต่อ สู่การเลือกตั้ง ที่จะวัดกันว่า สิ่งที่ คสช. ทำมาตลอด 3 ปีนั้น “เสียของ” หรือไม่

โดยเฉพาะการผลักดันให้ พล.อ.ประยุทธ์ กลับมาเป็นนายกฯ คนนอก ตามที่รัฐธรรมนูญเปิดช่องไว้ แต่ไม่ใช่เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ อยากเป็น หรืออยากสืบทอดอำนาจ แต่ไม่อยากให้สิ่งที่ทำมาล้มเหลว

ตำแหน่งว่าที่ผู้จัดการรัฐบาล จึงเป็นของ พล.อ.ประวิตร เพราะเขาเองก็ไม่หวังที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีอีกต่อไปแล้ว

แม้ว่าก่อนหน้านี้มีความเคลื่อนไหวของพรรคทหาร พรรคนอมินีทหาร เล็งที่จะเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร รวมถึงชื่อ บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. เป็นนายกฯ คนนอกแล้ว

สุขภาพของ พล.อ.ประวิตร กำลังถูกจับตามองว่าจะส่งผลต่อการจัดทำโผแต่งตั้งโยกย้ายทหารในอีกไม่กี่เดือนนี้ด้วยหรือไม่

แม้ว่าตอนนี้จะเกิดข่าวลือว่า เพราะ พล.อ.ประวิตร ไม่สบาย จึงจะมีการจัดทำโยกย้ายทหารปลายปีกันแล้ว

โดยเฉพาะหลังจากที่ พล.อ.ประวิตร เข้ากลาโหมวันแรกหลังป่วย แล้วปิดห้องคุยกับปลัดกลาโหม ผบ.สส. และ ผบ.เหล่าทัพ เป็นเวลานานกว่า 1 ชั่วโมง

แต่ทว่า ก็เป็นแค่ข่าวลือ เพราะถึงอย่างไร การแต่งตั้งโยกย้ายทหารก็ต้องมีผล 1 ตุลาคม ต่อให้ทำโผเสร็จเร็วที่สุด และเท่าที่เคยประกาศออกมาก็กลางเดือนสิงหาคม แต่ทว่า นี่เพิ่งย่างเข้าเดือนมิถุนายนเท่านั้น

แต่ทว่า การเล็งๆ และวางตัวนายทหารในตำแหน่งต่างๆ นั้น ย่อมมีการมองๆ กันไว้บ้างแล้ว

แต่ก็ทำให้นายทหารหลายคน ที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องรักของ พล.อ.ประวิตร รอลุ้นตำแหน่งสำคัญ ก็อาจรู้สึกไม่มั่นใจในอนาคตอยู่บ้าง แต่ทว่า “เป็นห่วงนายมากกว่า”

ต่อให้ยิ่งใหญ่มีอำนาจและบารมีมากแค่ไหน มาวันนี้ ทุกคนก็ต้องยอมรับในสัจธรรมแห่งชีวิต

แต่ไม่ว่าจะแข็งแรงหรือไม่ แต่บิ๊กป้อมต้องท่องคาถา Never Dies เพราะมีภารกิจสำคัญรออยู่เบื้องหน้า

แม้จะเป็น เสือป่วย แต่หาใช่ถอดเขี้ยวเล็บไม่…