ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 26 พฤษภาคม - 1 มิถุนายน 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | มุมมุสลิม |
ผู้เขียน | จรัญ มะลูลีม |
เผยแพร่ |
นโยบายเลือกปฏิบัติ
เกือบจะไม่มีการใช้ตรรกะใดๆ เลยสำหรับสหรัฐในการโจมตีรัฐบาลซีเรียทั้งๆ ที่ยังจะต้องมีการสำรวจเมืองอิดลิบให้มากกว่านี้
ทางทำเนียบขาวได้แต่อ้างว่าการโจมตีซีเรียเป็นผลมาจากความสะเทือนใจของทรัมป์ที่เห็นภาพเด็กๆ ถูกสังหาร และ Ivanka บุตรสาวของเขา วิงวอนขอให้ตัวเขาทำอะไรสักอย่างลงไป
อย่างไรก็ตาม ไม่มีปฏิกิริยาแบบเดียวกันให้เห็นเมื่อประชาชนอย่างน้อย 126 คน ต้องจบชีวิตลงโดยกลุ่มสุดโต่งที่เข้าถล่มหมู่บ้านโดยการสังหารครั้งนี้มีเด็กรวมอยู่ด้วยถึง 60 คน ในกรณีนี้ไม่มีความเคืองแค้นจากทรัมป์ให้เห็น ทั้งนี้ จะพบว่ากลุ่มสุดโต่งเหล่านี้มีความเกี่ยวข้องกับสหรัฐและพันธมิตรไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
การโจมตีของสหรัฐต่ออัฟกานิสถานพบว่ามีการอธิบายน้อยมาก นอกไปจากการย้ำของผู้บัญชาการทางทหารสหรัฐที่ว่าการถล่มด้วยระเบิดเป็นความจำเป็นที่จะเอาเครือข่ายของไอเอสออกมาจากอุโมงค์
อุโมงค์เหล่านี้จำนวนมากถูกสร้างขึ้นจากความช่วยเหลือของ CIA สำหรับนักต่อสู้มุญาฮิดีนในทศวรรษ 1980 และถูกใช้โดยกลุ่มสุดโต่งหลายกลุ่มมาอย่างยาวนาน การถล่มกลุ่มไอเอสจึงเป็นการถล่มกลุ่มก้อนที่อ่อนแอลงไปแล้ว
สำหรับสหรัฐมันจะเป็นประโยชน์แก่รัฐบาลอัฟกานิสถาน หากว่าสหรัฐจะหันมาต่อต้านกองกำลังฏอลิบานที่คุกคามสหรัฐมากกว่า ซึ่งไม่มีการอธิบายเรื่องนี้ให้เห็น
หลังจากโจมตีสองครั้งซึ่งมาจากรัฐบาลของทรัมป์ ตัวของทรัมป์เองได้รับความชื่นชมอยู่ในประเทศของเขา ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองเรื่อยมาจนถึงนักวิพากษ์ ซึ่งดูเหมือนว่าวัฒนธรรมทางทหารของตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐคงไม่อาจมีความสุขกับประธานาธิบดีที่ไม่ถล่มประเทศอื่นๆ ได้
คำว่า “ประธานาธิบดี” เริ่มต้นใช้กับทรัมป์โดยผู้คนที่แลเห็นเขาว่าเป็นคนที่แย่งชิงตำแหน่งนี้ไป ด้วยเหตุนี้การถล่มซีเรียของทรัมป์จึงเกี่ยวข้องกับซีเรียและอัฟกานิสถานน้อยกว่าการเมืองภายในสหรัฐซึ่งความนิยมในตัวทรัมป์กำลังตกต่ำถึงขีดสุด
ทรัมป์ไม่ได้เป็นประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐที่ใช้ทหารเพื่อยกระดับความนิยมของตน
ประธานาธิบดี Bill Clinton ใช้จรวดนำวิถีเป็นหนทางในการหันเหประชาชนจากความผิดพลาดในบ้าน กล่าวกันว่าทรัมป์ใช้การโจมตีซีเรียและอัฟกานิสถานเพื่อส่งสารไปยังเกาเหลีเหนือ ซึ่งทรัมป์อาจมีปฏิบัติการณ์ต่อประเทศนี้หากเห็นว่ามีความเหมาะสมอย่างในกรณีซีเรียและใช้อาวุธที่ไม่มีใครคาดหมายอย่างที่ใช้ในอัฟกานิสถาน
ไม่ว่าการกระทำของทรัมป์จะมาจากเหตุผลภายในประเทศหรือเพื่อส่งสารไปยังเกาหลีเหนือก็ตาม ในทั้งสองกรณีการใช้ความรุนแรงของเขาถล่มซีเรียและอัฟกานิสถานดูเหมือนจะขาดยุทธศาสตร์ที่มีเหตุผล
Richard Nixon ผู้บุกเบิกทฤษฎีกิจการต่างประเทศที่รู้จักกันในชื่อทฤษฎีคนบ้า (Madman Theory) เคยบอก H.R.Haldeman เสนาธิการทหารของเขาว่า “ผมเรียกมันว่าทฤษฎีคนบ้า ผมต้องการให้เวียดนามเหนือเชื่อว่า ผมมาถึงจุดที่ผมจะทำทุกอย่างเพื่อยุติสงคราม”
ผู้คนของ Nixon ก็จะขยายคำเล่าลือออกไปว่าข้อเลือกในการใช้นิวเคลียร์ยังมีอยู่และ Nixew ก็บ้าพอที่จะใช้มัน
Nixon กล่าวว่า “ตัวโฮจิมินห์เองจะอยู่ที่ปารีสสองวันเพื่อวอนขอสันติภาพ” บางทีทรัมป์ก็เหมือนกับ Nixon ที่เชื่อในทฤษฎีคนบ้า ซึ่งถือกำเนิดโดย Machiaelli ที่บอกว่า
“เป็นเรื่องฉลาดที่จะเสแสร้งแกล้งบ้าขึ้นมา มันทำให้ศัตรูหวาดหวั่น มันเป็นที่โปรดปรานของผู้สนับสนุนที่กระหายเลือด แต่มันไม่ได้ทำให้โลกเป็นที่ปลอดภัยขึ้นมาแต่อย่างใด”
อาจกล่าวได้ว่ามากกว่าสามเดือนที่ทรัมป์ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี สหรัฐได้พบว่าประเทศของตนเองต้องติดพันอยู่กับความขัดแย้งอยู่ในประเทศอื่นๆ ซึ่งผู้มาก่อนทรัมป์ทิ้งไว้ให้
ในการหาเสียงเพื่อเป็นประธานาธิบดี ทรัมป์ยืนกรานที่จะให้สหรัฐเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับประเทศอื่นๆ และเป็นพันธมิตรกับองค์กรอย่างเช่นนาโต
ทรัมป์สัญญาว่าถ้าได้รับเลือกตั้งเขาจะให้สหรัฐเลิกเล่นบทการตั้งตัวเองเป็นตำรวจโลก ในคำพูดเปิดตัวเมื่อวันที่ 20 เดือนมกราคม ปี 2017 สิ่งที่เขาย้ำอยู่เสมอและเป็นที่รู้จักก็คือ “อเมริกามาก่อน” พร้อมกับการมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศและสาธารณูปโภคที่ทรุดโทรม
ในกรณีของซีเรียเจ้าหน้าที่อาวุโสของสหรัฐบอกกับผู้สื่อข่าวว่าพวกเขาประนีประนอมกับประธานาธิบดี บาชัช อัล-อะสัด ให้อยู่ในอำนาจต่อไป
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครคิดผิดในตัวทรัมป์ ในระหว่างการหาเสียงของเขาซึ่งเขาพูดซ้ำไปซ้ำมาว่าเขาจะบุกถล่มแล้วเอาของสกปรกออกจากกลุ่มอัล-กออิดะฮ์และไอเอส
และจะนำเอาปฏิบัติการณ์ “ทรมาน” นักการเมืองที่ถูกคุมขังมาใช้อีกครั้ง
ทรัมป์เริ่มปฏิบัติการตามสัญญาแนวเหยี่ยวของเขาทันทีที่เข้าทำงาน คณะทำงานของเขาเต็มไปด้วยทหาร พร้อมกับมอบอำนาจให้ทหารใช้ต่อต้านกลุ่มก้อนที่เป็นเป้าหมายของผู้ก่อการร้าย
สัปดาห์สุดท้ายของเดือนมกราคม ทรัมป์เห็นด้วยที่จะให้หน่วย Seals ไปยังเยเมนเพื่อสังหารและจับตัวผู้นำระดับสูงของกลุ่มอัล-กออิดะฮ์ในคาบสมุทรอาหรับ (AQAP)
ปฏิบัติการทางทหารเป็นผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 30 คน และใน 30 คนนี้มีเด็กหญิงอายุ 8 ขวบ รวมอยู่ด้วยแต่กลับไม่พบกลุ่ม AQAP แต่อย่างใด
เป็นที่เปิดเผยในเวลาต่อมาว่าจนถึงบัดนี้สหรัฐยังไม่สามารถพบตัวผู้นำ AQAP ซึ่งไปอยู่กับกองกำลังผสมที่นำโดยซาอุดีอาระเบีย ที่เข้าไปรุกรานเยเมนอยู่ในปัจจุบัน
ที่ย้อนแย้งก็คือฝ่ายบริหารของทรัมป์สนับสนุนการรุกรานของซาอุดีอาระเบีย ด้วยการจัดทำข่าวกรองทางทหารและอาวุธทันสมัยให้ ผลที่ตามมาพบว่าเยเมนตกอยู่ในภาวะปั่นป่วนจนนำไปสู่สงครามกลางเมืองที่สนับสนุนโดยซาอุดีอาระเบีย
สงครามกลางเมืองในเยเมนเป็นผลให้จำนวนอัล-กออิดะฮ์ และกลุ่มไอเอสมีจำนวนเพิ่มขึ้น
เยเมนเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซียและตกอยู่ในภาวะอดยาก ตามรายงานของ UN คน 9 ล้านคนจากจำนวนชาวเยเมน 27 ล้านคนกำลังตกอยู่ในภาวะใกล้ตาย และ 3.3 ล้านคนกำลังขาดอาหารอย่างรุนแรง โดยส่วนใหญ่เป็นเด็ก
ซาอุดีอาระเบียใช้อาวุธที่มาจากสหรัฐและพันธมิตรเข้าทำลายสาธารณูปโภคของเยเมน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมุ่งถล่มท่าเรือฮุวัยดา (Huweida) ซึ่งเยเมนใช้เป็นที่นำเข้าอาหารของตนเป็นเป้า
ในเยเมนเราได้เห็นอาชญากรสงคราม รวมทั้งการเอาโรงพยาบาล โรงเรียน งานแต่งงาน มาเป็นเป้าโจมตีการกระทำเหล่านี้เป็นเรื่องยากที่จะมองข้าม ทั้งนี้ ฝ่ายบริหารของโอบามาได้วิพากษ์การกระทำของซาอุดีอาระเบียในเรื่องเหล่านี้แค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่สิ่งแรกที่ทรัมป์ทำหน้าที่ต่อจากโอบามาก็คือการส่งสัญญาณอย่างชัดแจ้งไปยังพันธมิตรซาอุดีอาระเบียของเขาว่าซาอุดีอาระเบียสามารถจะถล่มเยเมนได้ต่อไป