เกาหลีใต้เสี่ยงเผชิญโควิดระบาดระลอก 3 มากแค่ไหน?

ก่อนหน้านี้เกาหลีใต้เคยได้รับเสียงชื่นชมกล่าวขวัญถึงในฐานะประเทศต้นแบบของการรับมือตอบสนองต่อการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จากการดำเนินยุทธศาสตร์เชิงรุกในการติดตามรอย ตรวจหาเชื้อและกักกันโรคโดยนำเอาเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าเข้ามาช่วย จนทำให้เกาหลีใต้ประสบผลสำเร็จในการหยุดยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในระลอกแรกมาได้ โดยไม่ต้องใช้ยาขนานแรงอย่างมาตรการล็อกดาวน์ที่หลายประเทศทั่วโลกใช้กัน

เพราะเกาหลีใต้เองหวั่นกลัวเป็นอย่างมากว่าการล็อกดาวน์จะฉุดลากเศรษฐกิจของประเทศที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ในเอเชียให้ดิ่งลงเหว

แต่ตอนนี้สถานการณ์ในเกาหลีใต้กำลังเป็นที่น่าวิตก เนื่องจากเกาหลีใต้กลับมาเห็นจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดพุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนใหญ่ยังเป็นการติดต่อแพร่เชื้อในชุมชนที่ยังติดตามรอยโรคไม่ได้

จากที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้นในวันเดียวทะลุหลักร้อย กลับมาเพิ่มขึ้นเป็นวันละหลักหลายร้อย กระทั่งพุ่งทะลุหลักพันคนภายในวันเดียวไปแล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน

ซึ่งถือเป็นอัตราผู้ติดเชื้อรายใหม่รายวันสูงสุดนับจากเกาหลีใต้เริ่มเผชิญกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็นครั้งแรกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

นี่เป็นสัญญาณบ่งชี้ให้เห็นว่าเกาหลีใต้กำลังเผชิญความท้าทายจากคลื่นระบาดระลอก 3 ของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้รัฐบาลประธานาธิบดีมุน แช อิน นั่งไม่ติด ต้องเร่งงัดมาตรการคุมเข้มอย่างเข้มข้นกลับมาใช้ใหม่แทบไม่ทัน

 

พื้นที่พบการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ของเกาหลีใต้รอบล่าสุด ยังคงอยู่ในพื้นที่เมืองหลวงในกรุงโซลและเขตปริมณฑลโดยรอบ ไม่ว่าจะเป็นเมืองอินชอนและจังหวัดคยองกี ที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นรวมกันเกือบ 26 ล้านคน หรือกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งประเทศที่มีราว 51 ล้านคน

ซึ่งการติดตามรอยผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อในพื้นที่ที่มีประชากรอยู่หนาแน่นเช่นนี้ถือว่าเป็นความท้าทายอย่างมากในการที่จะควบคุมการติดต่อแพร่เชื้อได้อย่างอยู่หมัด

ในทัศนะของผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่าสภาพอากาศที่เย็นลงในช่วงฤดูหนาว กลุ่มวัยรุ่นคนหนุ่มสาวที่เป็น “สเปรดเดอร์” หรือคนที่มีความสามารถแพร่เชื้อไปยังบุคคลอื่นจำนวนมากแต่ไม่แสดงอาการ และการรวมตัวกันของผู้คนเป็นกลุ่มเล็กๆ โดยที่การ์ดยังตก ไม่สวมหน้ากากอนามัยป้องกัน ล้วนเป็นสาเหตุหลักใหญ่ที่อธิบายได้ว่าเหตุใดเกาหลีใต้ถึงกลับมามีผู้ติดเชื้อโควิด-19 พุ่งขึ้น

จนกลายเป็นคลื่นระบาดใหญ่ระลอก 3 ที่ยังมีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็น “งานใหญ่และงานหิน” ของเกาหลีใต้ในการจะตัดวงจรการแพร่ระบาดได้

 

ข้อมูลของหน่วยงานสาธารณสุขเกาหลีใต้ที่เปิดเผยออกมาในช่วงเดือนพฤศจิกายนระบุว่า ผู้ป่วยโควิด 1 คน แพร่เชื้อให้กับผู้อื่นได้ในอัตรา 1.5 คน แต่ผู้เชี่ยวชาญมองว่าอัตราผู้ป่วยต่อการแพร่เชื้อในเกาหลีใต้จะถีบตัวสูงขึ้นกว่านี้ได้เมื่อฤดูหนาวมาถึง โดยสภาพอากาศที่อุณหภูมิลดต่ำลงมาก จะทำให้ผู้คนรวมตัวกันอยู่ภายในอาคารเพื่อหลบอากาศที่หนาวเย็น ซึ่งเป็นสภาพการณ์ที่เอื้อต่อการแพร่เชื้อไวรัสได้เป็นอย่างดี

มีการตั้งข้อสังเกตว่า คลื่นระบาดระลอกใหม่ในเกาหลีใต้ปรากฏให้เห็นหลังจากรัฐบาลเริ่มผ่อนคลายมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมที่ทางการใช้รับมือกับคลื่นระบาดระลอกสองในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยมีการรวมตัวกันของผู้ติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อน (คลัสเตอร์) เล็กๆ กระจายตัวในพื้นที่ต่างๆ เป็นวงกว้าง ที่มีตั้งแต่ไนต์คลับ บาร์ ร้านคาเฟ่ โบสถ์ สถานบริการอบเซาน่า โรงเรียน ไปจนถึงสตูดิโอเพลง ซึ่งผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการ ทำให้ผู้ติดเชื้อกลุ่มก้อนนี้กลายเป็นสเปรดเดอร์เงียบ

ชเว แจ อุก ผู้เชี่ยวชาญจากวิทยาลัยการแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยโคเรีย กล่าววิพากษ์ว่า การตอบสนองของรัฐบาลต่อสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในชุมชนในระลอกสองที่เริ่มขึ้นในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมที่ผ่านมานั้นไร้ประสิทธิผล

เพราะเร่งผ่อนคลายกฎคุมเข้มเรื่องการเว้นระยะห่างเร็วเกินไป

ผนวกกับประชาชนส่วนใหญ่มีความเหนื่อยล้าต่อการยึดปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม จึงทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ลง

 

ขณะที่ด๊อกเตอร์จอง อึน คยอง หัวหน้าสำนักงานควบคุมและป้องกันโรคเกาหลี (เคดีซีเอ) กล่าวว่า คนหนุ่ม-สาวเป็นกลุ่มคนที่ก่อความเสี่ยงสูงในการแพร่เชื้อไวรัสในชุมชน ซึ่งในขณะที่คนกลุ่มนี้มักไม่แสดงอาการ หรือมีอาการอ่อนๆ แต่พวกเขายังคงออกไปใช้ชีวิตสังสรรค์เฮฮาในสังคมต่อไปโดยไม่มีการตรวจหาเชื้อ จึงทำให้มีการแพร่ระบาดได้ง่ายและรวดเร็ว เราจึงจำเป็นต้องหามาตรการควบคุมที่พุ่งเป้าไปที่กลุ่มคนในช่วงวัยนี้อย่างเข้มข้น

ถึงตอนนี้เกาหลีใต้มียอดผู้ติดเชื้อสะสมใกล้แตะ 5 หมื่นคนเข้าไปทุกขณะ แม้ตัวเลขผู้เสียชีวิตยังอยู่ที่มากกว่าครึ่งพัน ซึ่งแม้จะถือว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับหลายชาติที่มีสถานการณ์ระบาดเข้าขั้นวิกฤตอย่างสหรัฐอเมริกาและหลายชาติตะวันตกก็ตาม แต่หลังจากยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ในเกาหลีใต้พุ่งขึ้นรายวันสูงกว่าหลักพันหลายวันติด

รัฐบาลมุน แช อิน ก็ไม่ได้นอนใจ เร่งยกระดับบังคับใช้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างเข้มงวดขึ้นสู่ระดับ 2.5 แต่หากยังคุมไม่อยู่ รัฐบาลก็ส่งสัญญาณเตือนออกมาแล้วว่า หากทุกคนไม่ร่วมแรงร่วมใจ สถานการณ์ระบาดยิ่งเลวร้ายลง

การใช้ยาขนานแรงที่ไม่มีใครอยากเห็น คือการยกระดับมาตรการเข้มงวดสู่ระดับ 3 ซึ่งเทียบเท่ากับการล็อกดาวน์ ที่จะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจราว 1.2 ล้านแห่งในเกาหลีใต้ให้ต้องปิดทำการ ก็คงจะเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้!