ยานยนต์ สุดสัปดาห์/เมอร์เซเดส-เบนซ์ “E 350 e” ไฮบริดปลั๊กอิน-ไฮเทคได้อีก

สันติ จิรพรพนิต

ยานยนต์ สุดสัปดาห์/สันติ จิรพรพนิต [email protected]

เมอร์เซเดส-เบนซ์ “E 350 e” ไฮบริดปลั๊กอิน-ไฮเทคได้อีก

ประกาศตัวชัดเจนว่าก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์พลังงานน้ำมันไปเน้นพลังงานทางเลือกมากขึ้นเรื่อยๆ คือค่ายดาวสามแฉก “เมอร์เซเดส-เบนซ์” เพราะถึงแม้จะยังมีรถพลังงานน้ำมันออกสู่ตลาดต่อเนื่อง

แต่ขณะเดียวกันก็ส่งรถพลังงานทางเลือกอย่าง “ปลั๊กอินไฮบริด” ลูกผสมน้ำมัน+ไฟฟ้า และสามารถชาร์จไฟได้ด้วย ออกมามากขึ้น และมากขึ้น

อีกทั้งหลายๆ รุ่นทำราคาใกล้เคียงกับรถพลังงานน้ำมันจนแทบไม่ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ

ล่าสุดส่งรุ่น “E 350 e” พี่ใหญ่ของกลุ่ม “E-Class” เข้ามาทำตลาดเป็นรุ่นล่าสุด

“E-Class” ถือเป็นรถยุคบุกเบิกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ อายุอานามกว่า 80 ปีแล้ว เจเนอเรชั่นแรกผลิตก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยซ้ำ เพียงแต่ช่วงนั้นยังไม่ได้เรียก “E-Class” แต่ใช้ชื่อเป็นรหัสตัวถังแทน จนในปี 2527 นั่นแหละถึงเปลี่ยนมาใช้ชื่อ “E-Class”

เมื่อต้นปีที่ผ่านมา “E-Class” เจเนอเรชั่นที่ 10 อวดโฉมในเมืองไทย ในรุ่น “E 220 d” เป็นรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล

ก่อนที่จะส่ง “E 350 e” มาเอาใจนักเลงรถรักษ์โลก แน่นอนว่างานนี้อัดออปชั่นแน่นคันเหมือนเดิม

เมอร์เซเดซ-เบนซ์ “E 350 e” เช่นเดียวกับรุ่นอื่นๆ ของดาวสามแฉกที่จะมีให้เลือก 3 รุ่นย่อย คือ E 350 e Avantgarde, E 350 e Exclusive และ E 350 e AMG Dynamic

การมาถึงของ “E 350 e” ถือว่าเติมเต็มรถนั่งกลุ่มพลังงานทางเลือกหรือปลั๊กอินไฮบริดครบทุกเซ็กเมนต์ เพราะก่อนหน้านี้เปิดตัวไป 3 คลาสคือพี่ใหญ่ “S 500 e”, น้องเล็ก “C 350 e” และพี่เบิ้มกลุ่มเอสยูวี “GLE 500 e”

ทำให้ปัจจุบันค่ายดาวสามแฉกมีรถปลั๊กอินไฮบริดมากถึง 12 รุ่นย่อย เป็นกลุ่ม “C-Class” 4 รุ่น “E-Class” 3 รุ่น “S-Class” 3 รุ่น และ GLE 2 รุ่น และดูท่าในอนาคตจะลามไปถึงรุ่นอื่นๆ ของค่ายด้วย

ดีไซน์ภายนอกของ “E 350 e” มาแพลตฟอร์มเดียวกับรุ่นพี่-รุ่นน้อง โดย Avantgarde และ AMG Dynamic กระจังหน้าจะคล้ายกันออกแนวสปอร์ต คาดเส้นโครเมียม 2 เส้นขนาดใหญ่ ตรงกลางเป็นสัญลักษณ์ดาวสามแฉก

ส่วน Exclusive ออกในแนวเรียบหรูกระจังหน้าเป็นซี่ๆ คล้ายกับเบนซ์รุ่นเก่าๆ ที่เราคุ้นเคย ฝากระโปรงหน้ามีสัญลักษณเบนซ์แบบลอยตัว

ไฟหน้าในรุ่น Avantgarde แบบ LED High Performance

ส่วน Exclusive และ AMG Dynamic แบบ MULTIBEAM LED ซึ่งมีเทคโนโลยีใส่มาเพียบ ทั้งระบบปรับโคมไฟหน้ารถตามการเลี้ยวของพวงมาลัย, ระบบเพิ่มความส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง, ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ

ดีไซน์ภายนอกมีขนาดตัวถังและฐานล้อที่ยาวและกว้างขึ้น ฝากระโปรงหน้าออกแบบให้ดูยาว หลังคาออกแบบในสไตล์รถคูเป้

รุ่น AMG Dynamic มีหลังคาแก้วพาโนรามิกซันรูฟ เปิด-ปิดด้วยไฟฟ้ามาให้ด้วย รวมถึงกันชนหน้า-หลัง และสเกิร์ตข้าง ล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ 5 ก้านคู่ ขนาด 19 นิ้ว

ดีไซน์ภายในเมอร์เซเดส-เบนซ์นำเสนอเป็นพิเศษ เพราะได้รางวัล “Automotive Interiors Expo Awards” ประจำปี 2016 ด้านห้องโดยสารยอดเยี่ยมสำหรับรถยนต์ที่ผลิตเพื่อการจัดจำหน่ายจริง และ “นวัตกรรมยอดเยี่ยมแห่งปี” จากแผงควบคุมระบบสัมผัสบนคอพวงมาลัยในรถยนต์

รุ่น Avantgarde และ Exclusive ตกแต่งสไตล์หรูหรา มาพร้อมกับเบาะนั่งหุ้มหนัง ARTICO พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนัง nappa

ส่วน AMG Dynamic เบาะนั่งหุ้มหนัง nappa พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นแบบสปอร์ตท้ายตัดหุ้มหนัง nappa ออกในแนวสปอร์ต

หน้าจอแสดงผลข้อมูลแบบ widescreen cockpit เป็นจอแอลอีดีขนาด 12.3 นิ้ว 2 จอ บริเวณแผงหน้าปัดสำหรับแสดงมาตรวัดต่างๆ เปลี่ยนได้ 3 รูปแบบคือคลาสสิค, สปอร์ต และ Progressive เรียกว่าหากใครเบื่อหน้าปัดเดิมๆ ก็กดเปลี่ยนได้เลย

ส่วนอีกจอติดบริเวณตรงกลางคอนโซลหน้าเป็นหน้าจอ “อินโฟเทนเมนต์”

รุ่น AMG Dynamic ยังมีระบบแสดงผลข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า (Head-up Display) มาให้ด้วย

ระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester ระบบ COMAND Online พร้อม Controller, ระบบควบคุมและสั่งงานด้วย Touchpad, ระบบสั่งการด้วยเสียง (LINGUATRONIC) เฉพาะภาษาอังกฤษ, ฟังก์ชั่นเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการ iOS (Apple CarPlay) และ Android (Android Auto) รวมถึงการติดตั้งระบบแผนที่นำทาง

ระบบไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสารที่ปรับได้ถึง 64 สี

มีระบบชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย

ขุมพลังเหลือเฟือ เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบแถวเรียง ความจุกระบอกสูบ 1,991 ซีซี กำลังสูงสุด 211 แรงม้า แรงบิด 350 นิวตันเมตร

กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ 88 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร หากใช้ทั้ง 2 พลังงานร่วมกันให้กำลังสูง 286 แรงม้า แรงบิดสูงถึง 550 นิวตันเมตร

ทำงานคู่กับระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 9 จังหวะ (9G-TRONIC PLUS) พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย อัตราเร่ง 0-100 ก.ม./ช.ม. อยู่ที่ 6.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 ก.ม./ช.ม.

ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ไกลถึง 33 กิโลเมตร ด้วยความเร็วสูงสุด 130 ก.ม./ช.ม.

อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 40-47.62 กิโลเมตร/ลิตร เรียกว่าประหยัดเหลือเชื่อจริงๆ

มิติตัวถัง (กว้าง x ยาว x สูง) 1,852 x 4,923 x 1,468 ม.ม.

ความปลอดภัยครบครันทั้งถุงลม-ม่านนิรภัยรอบคัน โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ, ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS, ไฟเบรกกะพริบอัตโนมัติเมื่อเบรกฉุกเฉิน, ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับรถ ฯลฯ

รุ่น Avantgarde จะมาพร้อมกับกล้องแสดงภาพด้านหลังขณะถอยรถ

ในขณะที่ Exclusive และ AMG Dynamic มีกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา ที่ติดตั้งเป็นครั้งแรกในรถยนต์รุ่นนี้

สําหรับเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ต้องพูดถึงและน่าจะช่วยรักษาชีวิตและลดอุบัติเหตุไม่พ้นระบบเบรกอัตโนมัติ โดยระบบจะส่งเสียงเตือนหากเข้าใกล้วัตถุด้านหน้ามากเกินไป หรือผู้ขับขี่ยังไม่มีทีท่าว่าจะเบรกจนอาจเกิดชนกัน ระบบนี้จะช่วยเบรกให้เอง

เช่นเดียวกัน การขับรถออกจากซอย หรือมีรถขับตัดหน้าจนผู้ขับขี่เบรกไม่ทัน ระบบนี้ก็จะช่วยเบรกให้เช่นกัน

อีกเทคโนโลยีที่เสริมความสะดวกสบายไม่พ้นระบบช่วยรักษาระยะห่างจากรถที่อยู่ด้านหน้Œา ผู้ขับขี่สามารถตั้งระยะห่างที่เหมาะสม เมื่อเปิดใช้ระบบนี้ทั้งเบรก-คันเร่งจะทำงานเองอัตโนมัติตามการเคลื่อนหรือหยุดของรถคันหน้า ซึ่งเหมาะกับสภาพการจราจรในเมืองไทยที่ต้องขับๆ หยุดๆ โดยผู้ขับขี่ไม่ต้องกดคันเร่งหรือเบรก

ส่วนระบบช่วยจอดอัตโนมัติยังเป็นอีกจุดเด่นเพราะจอดได้ทั้งแบบขนานข้างและถอยเข้าซอง เพียงกดปุ่มและเข้าเกียร์ครั้งเดียว ที่เหลือระบบจะจัดการให้ทั้งหมดโดยไม่ต้องหมุนพวงมาลัย กดคันเร่ง-เบรก หรือเปลี่ยนเกียร์แต่อย่างใด ระบบนี้ยังช่วยในการขับออกจากที่ได้ด้วย

การชาร์จไฟแบบปลั๊กอินจะเสียบกับไฟบ้านโดยตรง หรือซื้อกล่องชาร์จแบบเร็ว (วอลล์บ็อกซ์) ไปติดตั้งที่บ้านก็ได้ ขณะที่หากออกมาข้างนอกมีจุดชาร์จตามโชว์รูมเมอร์เซเดส-เบนซ์ทั่วประเทศ และในห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ เช่น สยามพารากอน หรือเซ็นทรัลเวิลด์ ไว้บริการด้วย รวมแล้วมีกว่า 100 จุด

The E 350 e Avantgarde ราคา 3,490,000 บาท

The E 350 e Exclusive ราคา 3,790,000 บาท

และ The E 350 e AMG Dynamic ราคา 4,090,000 บาท

ดูราคาแล้วต้องบอกว่าตั้งมายั่วใจเศรษฐีเหลือเกิน เพราะแพงกว่ารุ่นเครื่องดีเซลอย่าง “E 220 d” รุ่นละ 1 แสนบาทเท่านั้น