ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 4 - 10 ธันวาคม 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | โลกทรรศน์ |
ผู้เขียน | อุกฤษฏ์ ปัทมานันท์ |
เผยแพร่ |
ท่ามกลางความยินดีเมื่อโจ ไบเดน ชนะเลือกตั้งสหรัฐอเมริกา ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่
สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ ฉันทานุมัติระบบสองพรรคการเมือง (bipartisan consensus) ของสหรัฐกลับมาสู่ประเด็นเรื่องจีน
จีนเป็นคู่แข่งทางยุทธศาสตร์ (strategic competitor) หรือแม้แต่จีนเป็นศัตรูของสหรัฐ มากไปกว่านั้น คณะผู้บริหารของไบเดนได้กดดันต่อจีนให้ต่อต้านสหรัฐ และต้องมองสหรัฐอย่างรอบด้าน เพราะประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐจะต้องทำให้ประเด็นเรื่องจีนมีความเหนียวแน่นและให้มีความต่อเนื่องเมื่อเขาก้าวเข้าสู่กระบวนการกำหนดนโยบาย และในเวลาเดียวกัน ต้องประสานความร่วมมือการบริหารกับจีนร่วมกับประเทศพันธมิตรของสหรัฐ
แต่ไม่ได้หมายความว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับจีนจะยังคงตกต่ำต่อไปด้วยแนวทางใดๆ ก็ตาม
ตรงกันข้าม โจ ไบเดน ได้ให้โอกาสที่ทรงคุณค่า ก่อเสถียรภาพความสัมพันธ์ทวิภาคีจากแง่มุมมองระดับโลก
ล้มลัทธิทรัมป์ (de-Trumpism)
เมื่อก้าวเข้าสู่ยุคนโยบายต่างประเทศไบเดน โดยเฉพาะเราสามารถคาดการณ์ความเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานบางอันในนโยบายหลักของสหรัฐ ได้แก่ ความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นโยบายไม่กระจายอาวุธนิวเคลียร์ (nonproliferation of nuclear weapons) การควบคุมโรคระบาดใหญ่โควิด การค้าระหว่างประเทศและเสถียรภาพทางการเงิน
ไม่ต้องประหลาดใจที่จะเห็นคณะบริหารของไบเดนกลับมาพิจารณาอีกครั้งหรือกลับเข้าไปอีกครั้งในความตกลงปารีสด้านสภาพภูมิอากาศ (Paris Agreement on Climate) กรอบเจรจานิวเคลียร์กับอิหร่าน การจัดแนวทางใหม่อีกครั้งต่อองค์การอนามัยโลก (World Health Organization-WHO) จัดแนวทางใหม่ต่อองค์การการค้าโลก (World Trade Organization-WTO) ซึ่งในยุคทรัมป์เคยต่อต้านอย่างสำคัญ
คณะผู้บริหารไบเดนต้องเข้าผูกพันอีกครั้งอย่างแข็งขันกับกลุ่มเศรษฐกิจโลกใหญ่อื่นๆ ในสหภาพยุโรปและญี่ปุ่น เพื่อเจรจากรอบการค้าและการลงทุนใหม่ ในทุกอาณาบริเวณเหล่านี้ จีนสามารถและควรแสวงหากรอบพื้นฐานที่เหมือนกันกับทางการสหรัฐ
ระบอบเอกนิยม (Unilateralism)
โจ ไบเดน จะยอมละทิ้งระบอบเอกนิยม ไม่เพียงเพราะระบอบนี้ได้ทำลายล้างสาหัสต่อจุดยืนของสหรัฐ
ทว่ายังเพราะว่า ระบอบพหุนิยม (Mulitlateralism) มีความจำเป็นที่สุด
ถ้าสหรัฐฟื้นฟูและรักษาระบบพันธมิตรที่สำคัญภายใต้การนำของสหรัฐ
ทั้งสหรัฐและจีนต่างเชื่อมโยงระหว่างกันไปมาอย่างเปลี่ยนแปลงไม่ได้ในโลกเดียวกัน
แม้ว่าคู่แข่งทางยุทธศาสตร์ยังเกิดขึ้นไม่หยุดยั้งระหว่างทั้งสองประเทศ
โลกกับความเสี่ยง
ระบบโลกกำลังเผชิญหน้าความเสี่ยงเศรษฐกิจล้มละลาย หรืออย่างน้อยเศรษฐกิจถดถอย เพราะผลกระทบในปริมาณมหาศาลที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อนจากโรคระบาดใหญ่โควิด
ได้มีการใส่เม็ดเงินจำนวนหลายๆ หมื่นล้านเหรียญสหรัฐเข้าไปในตลาด เพื่อป้องกันการพังทลายของตลาด
ตอนนี้ทั้งปักกิ่งและวอชิงตันสามารถค้นหาพื้นฐานร่วมเพื่อรักษาเสถียรภาพการเงินโลก อีกทั้งอภิมหาโกลาหลที่อาจจะเกิดขึ้นมีผลต่อ ทั้งปักกิ่งและคู่ค้าใหญ่ที่สุดในโลก
ส่วนสหรัฐเสถียรภาพทางเศรษฐกิจนำมาซึ่งความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ
ผลประโยชน์ของทั้งปักกิ่งและวอชิงตันที่สร้างกลไกสำคัญเพื่อบริหารวิกฤตการณ์เพื่อหาทางออกในช่วงเวลานี้ เช่น ทะเลจีนใต้ (South China Sea) ช่องแคบไต้หวัน (Taiwan Strait) เพื่อป้องกันความตึงเครียดจากการทะยานขึ้นจนเกิดความขัดแย้งอันตรายต่างๆ
ประเด็นที่ควรเตรียมการในอนาคต มีความสำคัญแต่ทว่าไม่อาจให้ความสำคัญกับคณะผู้บริหารของไบเดนได้คือ การสร้างกรอบนโยบาย นิยามที่ชัดเจนต่อจีนก่อนที่จะมีการเลือกตั้งครึ่งเทอม (midterm election) ในปี 2022
คณะผู้บริหารไบเดนกำหนดประเด็นวาระต่างๆ ทันทีทันใด จะรวมทั้งการสนับสนุนความสมานฉันท์แห่งชาติ (national reconciliation) ที่เกิดการแบ่งแยกเป็นฝักฝ่ายขึ้นอย่างลึกซึ้งและมีอารมณ์รุนแรง (emotion) ในช่วงเลือกตั้ง เข้าสู่การควบคุมโรคระบาดโควิด กระตุ้นเศรษฐกิจให้แยกตัวออกจากปัญหาโรคระบาดใหญ่โควิด เสริมสร้างความเหนือกว่าของพรรคเดโมเครต
โดยมีเป้าหมายเพื่อชนะอย่างสำคัญในการเลือกตั้งครึ่งเทอมในปี 2022 เป็นต้น
กรุงเทพฯ
ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลกที่รวดเร็วนี้ ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในสหรัฐกล่าวโดยย่อๆ เกิดจากโรคระบาดใหญ่โควิดได้เปิดเผยความเสื่อมถอยของประชาธิปไตย ระบบการปกครองโดยกฎหมาย (Rule of Law) สิทธิเสรีภาพ สิทธิมนุษยชนในประเทศต้นแบบประชาธิปไตยสหรัฐอเมริกา
คำถามต่อประชาธิปไตยสหรัฐอเมริกากระแทกลัทธิทรัมป์
แล้วความล้มเหลวด้านการจัดการโรคระบาดใหญ่โควิดของลัทธิทรัมป์ก็สะท้อนคำถามต่อประชาธิปไตยสหรัฐอเมริกาไปในตัว
ที่บ้านเรา ประเด็นการเปลี่ยนแปลงภายในประเทศเวลานี้ไม่ใช่ทฤษฎีสมคบคิดจากชาติตะวันตก
ไม่ใช่การสมคบคิดของฝ่ายการเมืองฝ่ายตรงกันข้าม
สำหรับผมมีเป็นประเด็นภายในใน 2 ประเด็น
ประเด็นแรก ปัญหาภายใน (domestic issue) คือ ความเปลี่ยนแปลงและกาลเวลา โรคระบาดใหญ่โควิดเพียงแค่เข้ามาเปิดเผย ประชาธิปไตยจอมปลอม ทว่าผู้เปลี่ยนแปลงหลัก หรือ Change Agent คือ นักเรียนเลว (Bad Students)
ควรยอมรับว่า นักเรียนเลวต่างเป็นห่วงอนาคตของประเทศไทยซึ่งคนรุ่นเขาจักต้องเดือดร้อนหรือทนทุกข์ทรมานภายใต้การเมืองไม่ดีและประชาธิปไตยจอมปลอม
เลิกคิดเรื่องการเมืองเรื่องอำนาจ (power politics) และการเมืองฝักฝ่าย (Faction politics) ในการเมืองไทยร่วมสมัยได้แล้ว นักเรียนเลวไม่มีทางได้และต้องการชิงอำนาจ ดูอายุของพวกเขา ยังอยู่ชั้นมัธยมอยู่เลย จิตสำนึกทางการเมืองก่อตัวและหล่อหลอมจากโซเชียลมีเดียก็จริง ทว่าใครคือแกนนำทางความคิดที่โฆษณาชวนเชื่อนักเรียนเลวได้
ดิจิตอลไลเซชั่น (digitalization) เป็นเครื่องมืออันหนึ่งช่วยให้พวกนักเรียนเลวแยกแยะความแตกต่างระหว่างประชาธิปไตยและอำนาจนิยม ดิจิตอลไลเซชั่นนำเสนอข้อมูลอันหลากหลายและความคิดเห็นของพวกเขาสู่สังคมไทยต่อการปฏิรูปการศึกษา ความเท่าเทียมทางสังคม เพศ ฯลฯ
พวกเขาสื่อสัญลักษณ์ไดโนเสาร์ เป็นความรุนแรงทางการเมืองตรงไหน
นักเรียนเลวของสังคมไทยจะเติบโตขึ้นภายใต้โลกใหม่ พวกเขาช่วยเราบอกว่า กาลเวลาเคาะประตูสังคมไทยแล้ว
ที่กล่าวมานี้ผมต้องการจะบอกว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทยเกิดจากพลังภายในไม่ได้เกิดจากลัทธิจักรวรรดินิยมตะวันตกอย่างที่ผู้ใหญ่หลอกลวง ทว่าประชาธิปไตย การปกครองโดยกฎหมาย สิทธิเสรีภาพของไทยนับเป็นกระแสเดียวที่เกิดขึ้นในสหรัฐ จีนและทั่วโลกเวลานี้
ประการที่สอง หากมองจากภายใน ระบอบประยุทธ์ยังเหลืออะไรอยู่บ้าง ยุบสภา รัฐประหาร…ใช้แก้ปัญหาการเมืองที่พวกท่านประกอบสร้างขึ้นมาได้หรือครับ?
กลับไปที่พื้นฐานที่สุด ความชอบธรรมทางการเมือง (legitimacy) ระบอบประยุทธ์มีหรือไม่?
I here too