คนของโลก : อาบีย์ อาห์เหม็ด จาก “โนเบลสันติภาพ” สู่ “ผู้ทำสงคราม”

นายกรัฐมนตรีอาบีย์ อาห์เหม็ด แห่งเอธิโอเปีย ขึ้นดำรงตำแหน่งเมื่อปี 2018 ให้คำมั่นที่จะทำให้เกิดประชาธิปไตยที่แท้จริง สนับสนุนผู้หญิง และออกนโยบายปลูกต้นไม้ทั่วประเทศ ก่อนจะเป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพเมื่อปี 2019 จากผลงานการสร้างสันติภาพกับเอริเทรีย ประเทศเพื่อนบ้านที่เผชิญหน้ากันมาเป็นเวลากว่า 20 ปีได้สำเร็จ

ภาพลักษณ์ของคุณพ่อลูก 3 ในฐานะผู้นำยุคใหม่ผู้รักสันติ และเป็นนักปฏิรูป ดูเหมือนจะต้องแปดเปื้อน หลังจากอาบีย์ส่งกำลังทหารและเครื่องบินรบ บุกถล่ม “ภูมิภาคไทเกรย์” ตอนเหนือของประเทศ

การตัดสินใจที่นักวิเคราะห์มองว่าอาจทำให้ชาติที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับสองของแอฟริกาแห่งนี้ตกอยู่ท่ามกลางสงครามกลางเมืองที่กินเวลายาวนานได้

 

นายกรัฐมนตรีเอธิโอเปีย วัย 44 ปี ประกาศทำสงครามเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ระบุว่า เป็นการตอบโต้การโจมตีค่ายทหารสองแห่งจากพรรคแนวร่วมปลดปล่อยประชาชนไทเกรย์ (ทีพีแอลเอฟ) ข้อกล่าวหาซึ่งทีพีแอลเอฟปฏิเสธ

ก่อนเกิดการโจมตีดังกล่าว ความตึงเครียดทางการเมืองภายในปะทุขึ้นจากการที่พรรคทีพีแอลเอฟ พรรคของชาติพันธุ์ไทเกรย์ ซึ่งมีสัดส่วนประชากรเพียง 6 เปอร์เซ็นต์ของประเทศ และปกครองประเทศมาอย่างยาวนาน สูญเสียอิทธิพลในรัฐบาลเอธิโอเปียไป

ส่วนอาบีย์ที่ขึ้นมาครองอำนาจเป็นชนเผ่าโอโรโม ที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ร่วมรัฐบาลกับชนเผ่าอัมฮาราส กลุ่มชาติพันธุ์ที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับสอง

กลุ่มการเมืองสายไทเกรย์สูญเสียตำแหน่งทางการเมืองรวมถึงตำแหน่งระดับสูงทางการทหาร และบางรายต้องเจอกับคดีความทุจริตตามมา ส่งผลให้ทีพีแอลเอฟถอนตัวไม่ร่วมรัฐบาลและถอยกลับสู่ภูมิภาคไทเกรย์ทางตอนเหนือของประเทศ ก่อนจะจัดการเลือกตั้งขึ้นเองในวันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา

นั่นส่งผลให้อาบีย์นายกรัฐมนตรีประกาศให้การเลือกตั้งดังกล่าวเป็นสิ่งผิดกฎหมายและตัดงบประมาณไปยังภูมิภาคไทเกรย์ลง จนเกิดชนวนเหตุโจมตีค่ายทหารสองแห่งขึ้น นำไปสู่การเปิดฉากสงครามจากรัฐบาลกลางเอธิโอเปีย กับภูมิภาคไทเกรย์ทางตอนเหนือ ล่าสุดมีผู้ได้รับบาดเจ็บและผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ผู้ลี้ภัยหลายหมื่นคนหนีไปพักพิงในประเทศซูดานประเทศเพื่อนบ้าน

ล่าสุดแม้นายกรัฐมนตรีอาบีย์จะประกาศชัยชนะหลังนำกำลังเข้ายึดเมืองเมเกเล่ เมืองหลวงของภูมิภาคไทเกรย์เอาไว้ได้แล้ว

แต่ผู้นำพรรคทีพีแอลเอฟ พรรคที่ปกครองภูมิภาคไทเกรย์ ยังคงประกาศที่จะต่อสู้กับรัฐบาลเอธิโอเปียต่อไป ทำให้สถานการณ์น่าจะยังคงความตึงเครียดและความรุนแรงต่อไปอีก

 

การเปิดปฏิบัติการโจมตีและปฏิเสธที่จะเจรจาตามเสียงเรียกร้องขององค์การสหประชาชาติ ถูกนำมาเปรียบเทียบกับคำแถลงในการรับรางวัลโนเบลสันติภาพ ของอาบีย์เมื่อปี 2019 ที่ผ่านมา

“สงครามเป็นภาพสะท้อนของนรกสำหรับทุกๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง” อาบีย์ระบุ ซึ่งล่าสุดสำนักนายกรัฐมนตรีเอธิโอเปีย ยังคงยืนยันจุดยืนเดิมของอาบีย์

ขณะที่โฆษกรัฐบาลเอธิโอเปีย ถึงกับระบุว่า อาบีย์เหมาะที่จะได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพครั้งที่ 2 ด้วยซ้ำ จากการแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในภูมิภาคไทเกรย์

อาบีย์ อดีตรัฐมนตรีวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ต้องเผชิญกับปัญหาความขัดแย้งต่อไป ไม่เฉพาะกับภูมิภาคไทเกรย์ตอนเหนือของประเทศเท่านั้น แต่รวมไปถึงความรุนแรงจากกลุ่มชาติพันธุ์ไม่เว้นแม้แต่ในภูมิภาคโอโรเมีย ภูมิภาคของชนเผ่าโอโรโม บ้านเกิดของอาบีย์เอง

นอกจากนี้ อาบีย์ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์ด้วยว่า ใช้วิธีการปกครองแบบเผด็จการ และถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ความมั่นคงในการจับกุมคุมขังและทารุณกรรมประชาชนด้วย

ต้องติดตามต่อไปว่า เจ้าของรางวัลโนเบลสันติภาพ จะสามารถสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นในเอธิโอเปียได้หรือไม่ ท่ามกลางความท้าทายมากมายที่รายล้อมรอบตัว