3 ปี โลกเสมือนจริง? -3ปี สภาพจริงกับสิ่งที่เห็นในแว่นนายกฯ ?

ภาพข่าวเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2560 ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ทดลองใช้แว่นวีอาร์ 3 มิติ “เสมือนจริง” ระหว่างประชุมกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ที่ทำเนียบรัฐบาลนั้น

ทำให้หลายคนเกิดอารมณ์ยั่วล้อในวาระ 3 ปี คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

ว่า พล.อ.ประยุทธ์อยากให้ประชาชนเห็นภาพ “เสมือนจริง” อย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์แลเห็นผ่านแว่นวีอาร์ หรือไม่

แน่นอนภาพนั้นย่อมเป็นภาพที่ดีและออกไปในทางบวก

หรืออยากจะให้เห็นภาพ “แห่งความเป็นจริง”

ซึ่งย่อมมีด้านไม่สดใส และมากด้วยคำวิพากษ์วิจารณ์ว่า ไม่ได้เป็นอย่างที่ คสช. พยายามโฆษณามาตลอด

อย่างการ “คืนความสุข”–3 ปีที่ผ่านมา คนไทยได้ความสุขคืนมาจริงหรือไม่ (อ่านคอลัมน์ แมลงวันในไร่ส้ม : ครบ 3 ปียึดอำนาจ/เช็กคะแนนผลงาน/ในบรรยากาศอึมครึม หน้า 86)

แน่นอน ฝั่งฟาก พล.อ.ประยุทธ์

ย่อมยืนยันถึงโลกแห่งความเป็นจริง ที่ คสช. นำพาประเทศชาติและประชาชนก้าวหน้าไปในทางที่ดีขึ้น

ซึ่งหากพิจารณาจากคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อวันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม ผ่านรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน”

จะพบว่าเป็นเหมือนการทดลองโชว์ผล ที่ คสช. ทำในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

มากด้วยความเยี่ยมยอด

จริงหรือไม่ คงต้องเปิดโอกาสและพื้นที่ให้ “ชี้แจง”

อย่างประชาชนในระดับรากหญ้า โดยเฉพาะเกษตรกร

พล.อ.ประยุทธ์ยืนยันว่า รัฐบาลนี้มีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะสนับสนุนและยืนเคียงข้างเกษตรกรตลอดมา

ที่ผ่านมารัฐบาลใช้เวลาตลอด 3 ปี ได้มีการแก้ไข ปรับปรุง พัฒนาทุกขั้นตอน เรียกว่าครบวงจร

พร้อมกับสื่อสารกับเกษตรกร ชาวไร่ ชาวนามาอย่างต่อเนื่อง

ไม่ได้เพียงแต่บอกว่าจะต้องทำอย่างไร หรือบังคับอย่างนั้นอย่างนี้ อย่างที่มีการกล่าวอ้างกัน

แต่รัฐบาลจะบอกว่าราคาผลผลิตจะขึ้นจะลง จะต่ำจะสูง ในช่วงใด ราคาเท่าไร ต้องเตรียมความพร้อมอย่างไร

ช่วงไหนจะกักเก็บน้ำได้มากขึ้น ช่วงไหนจะขาดน้ำ ช่วงไหนจะต้องพบกับปัญหาจากภัยธรรมชาติ และจะต้องเตรียมรับมืออย่างไร พื้นที่ใดจะประสบปัญหา พื้นที่ใดเหมาะสมควรจะปลูกพืชชนิดใด

ทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นการสร้างการรับรู้แบบครบวงจร ซึ่งเป็นหนึ่งในการช่วยแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า

ตัวอย่างความพยายามของภาครัฐที่จะดำเนินมาตรการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรรัฐบาลได้กำหนดให้ปี 2560 เป็นปีแห่งการยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตร เพื่อสร้างมูลค่าและรายได้ให้กับเกษตรกรอย่างยั่งยืน

สำหรับข้าว จะมีการดำเนินงาน 3 โครงการหลัก ได้แก่

(1) โครงการส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่

(2) การใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิคุณภาพดี

และ (3) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โดยมีระยะเวลาการดำเนินงาน 5 ปี งบประมาณรวม 25,871.14 ล้านบาท

ทั้งนี้ ได้มีการเร่งรัดให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่โดยเพิ่มพื้นที่เป็น 750 แปลง เนื้อที่เพิ่มขึ้นอีก 0.75 ล้านไร่

พร้อมทั้งส่งเสริมการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิคุณภาพดีใน 21 จังหวัด รวมพื้นที่ 300,000 ไร่

ขยายพื้นที่ปลูกข้าวอินทรีย์ให้ได้ 1 ล้านไร่ภายใน 3 ปี ครอบคลุมเกษตรกรจำนวนกว่า 66,000 ราย

ในปีที่ผ่านมานั้นรัฐบาลได้ส่งเสริมระบบเกษตรแปลงใหญ่ทั่วประเทศ มีเกษตรแปลงใหญ่ที่ปลูกข้าวรวม 425 แปลง เนื้อที่กว่า 1 ล้านไร่

ส่วนการปลูกข้าวอินทรีย์ มีแหล่งผลิตข้าวที่ได้รับการรับรองแล้วใน 47 จังหวัด จำนวน 5,362 แปลง พื้นที่รวมกว่า 60,000 ไร่

จากข้อมูลข้างต้น พล.อ.ประยุทธ์บอกว่า อยากทำความเข้าใจกับประชาชน

และอยากพูดคุยเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง

เนื่องจากเห็นว่ามีกลุ่มหลายๆ กลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มการเมือง กลุ่มอดีตนักการเมือง กลุ่มข้าราชการ กลุ่มนักธุรกิจ หลายๆ คน หลายๆ ฝ่าย วิพากษ์วิจารณ์ว่า คสช. รัฐบาล ยังไม่ได้ทำอะไรเลย

จึงอยากให้ประชาชนลองฟังดูแล้วพิจารณาให้ถ่องแท้

แม่น้ำ 5 สาย ล้วนทำงานร่วมมือกันมาโดยตลอด

ไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรกันทั้งสิ้น เพียงแต่ว่า คงต้องทำความเข้าใจกันให้มากขึ้น

วันนี้เราถึงมี ปยป. ขึ้นมาทำงานเพื่อจะบูรณาการทั้งแม่น้ำ 5 สาย ไปด้วยกัน

“ผมไม่ได้ตำหนิใครเลย ทุกคนทำหน้าที่ได้ดียอดเยี่ยมอยู่แล้ว ที่ผ่านมาต้องรับรู้ว่ารัฐบาล คสช. ทำอะไรไปแล้วบ้าง ผลผลิตเกษตรทั้ง 6 ชนิด พืชหลัก รัฐบาลได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง แต่ละกิจกรรม อย่ามาพูดรวมกันอย่างเดียวว่าเกษตรกรไม่ดีเลย ไม่มีรายได้ที่เพียงพอ รัฐบาลไม่ช่วยเหลือ เราทำทุกอย่างทั้งข้าว ทั้งยาง ทั้งมัน ข้าวโพด ปาล์ม อ้อย แล้วที่เกี่ยวข้องที่สุดก็คือ การบริหารจัดการน้ำทั้งระบบอย่างยั่งยืน อย่าลืมทุกอย่างต้องอาศัยความเข้าใจ ความร่วมมือ ไม่เช่นนั้นเราก็จะเดินหน้าต่อไปไม่ได้ จะเกิดความขัดแย้งกันอย่างไม่สิ้นสุด ด้วยความไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน” พล.อ.ประยุทธ์ยืนยัน

หัวหน้า คสช. ระบุอีกว่า อยากให้คนไทยทุกคนไม่ว่าจะยากดีมีจน ได้ร่วมมือกันสร้างความสงบสุข ความมีเสถียรภาพ ทั้งด้านการเมืองและความมั่นคงในประเทศให้มากที่สุด เพื่อรองรับโอกาสและสิ่งดีๆ กำลังจะตามมา

สำหรับเรื่องเศรษฐกิจระดับฐานราก ผู้มีรายได้น้อย

รัฐบาลพยายามช่วยเหลือและแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง ทั้งเกษตรกร อาชีพอิสระ แรงงาน ผู้ที่ปรับเปลี่ยนตนเอง เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนวิธีการ เพิ่มความขยันขันแข็ง อดทน โอกาสจะมีอยู่เสมอ

เว้นแต่อยากสบาย ไม่ต้องทำงานมาก เกียจคร้าน ไม่อดทน ไม่เปลี่ยนแปลง แล้วต้องการรายได้ที่เพิ่มขึ้น รัฐบาลต้องช่วยเหลือตลอดเวลา

คงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ใน “โลกแห่งความจริง”

พล.อ.ประยุทธ์บอกอีกว่า เรากำลังเดินหน้าปฏิรูปตามยุทธศาสตร์ชาติอยู่

แผนปฏิรูปต้องดำเนินการต่อไปอย่างต่อเนื่อง

ต้องใช้เวลา งบประมาณ และวิธีการที่เหมาะสมที่ทุกรัฐบาลสามารถปรับเปลี่ยนได้ไปตามสถานการณ์ ตามกฎเกณฑ์ซึ่งเราได้ร่างเอาไว้

สิ่งสำคัญที่สุดคือ บ้านเมืองต้องปลอดภัย สงบสุข

ปัญหาประเทศยังมีอีกมาก

ไม่ว่าจะเป็นความยากจน มีผู้ที่มีรายได้น้อยจำนวนมาก ของแพง อาชญากรรม

สังคมที่แตกแยก โรคระบาด อากาศโลกเปลี่ยนแปลง ภัยพิบัติ ภัยแล้ง น้ำท่วม

เราอย่ามัวทะเลาะเบาะแว้งกัน

การเป็นประชาธิปไตยและการเมือง ก็เป็นส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญ ซึ่งมีความสัมพันธ์กับความมั่นคงอื่น

หากเราเอาสิ่งเหล่านี้มาพิจารณาร่วมกันว่า ประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญ กฎหมายลูก กระบวนการยุติธรรม การเมือง สิทธิเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน หน้าที่ การมีส่วนร่วม การเคารพกฎหมาย ความร่วมมือในทุกมิติแบบประชารัฐ การป้องกันปราบปรามการทุจริต การแก้ปัญหาจราจร การแก้ปัญหาสังคม การบริหารจัดการน้ำ เกษตรครบวงจร เศรษฐกิจที่เติบโตไปด้วยกันทั้งใหญ่ กลาง เล็ก การแก้ปัญหาแรงงาน การจัดที่ดิน การบุกรุกป่า การทำลายทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม การปรับปรุงสาธารณสุข การปรับปรุงปฏิรูปการศึกษา การเตรียมรับสังคมสูงวัย การดูแลผู้มีรายได้น้อยในทุกมิติ การแก้ปัญหาภาคใต้ซึ่งล้วนแต่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด

เหล่านี้เราจะร่วมกันแก้ไขปัญหาได้อย่างไรไปพร้อมๆ กันเพื่อจะให้ประเทศสามารถสร้างความสมดุลในเรื่องของการพัฒนา

วันนี้หากทุกคนแยกกลุ่มกันคิด พูดและทำโดยสนใจแต่เรื่องของตน

ก็จะสร้างผลกระทบกับด้านอื่นๆ อีกมากมาย

“ผมไม่ได้บังคับให้ใครคิดเหมือน คิดต่างได้แต่ต้องมีวิธีการที่ทำร่วมกันให้ได้ว่า ทำยังไงจะเกิดผลสัมฤทธิ์แก้ปัญหา” พล.อ.ประยุทธ์ย้ำ

เราได้เผชิญหน้ากันมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว

หากเราไม่เข้าใจว่าเราจะต้องช่วยกันทำอะไรในส่วนของตน และต้องดูแลคนอื่นไปด้วย กิจกรรมอื่นไปด้วย เราขาดความรักความสามัคคี แบ่งฝ่ายแบ่งพวก ใช้กฎหมาย ใช้รัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือแก้ไขความผิดของตนหรือเพื่อผลประโยชน์ของตนในวันนี้และวันหน้า จนทำให้กฎหมายไม่มีประสิทธิภาพ ไม่ตรงกับจุดมุ่งหมายของการออกกฎหมาย วัตถุประสงค์ของกฎหมายแต่ละฉบับล้วนแต่มุ่งจะทำให้สังคมสงบสุข ไม่วุ่นวาย มีความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ

แต่มีหลายคนพยายามนำมาใช้เพื่อประโยชน์ของตนเอง

อาจจะมีการคัดค้านไปทุกเรื่อง

สังเกตเอาแล้วกัน มีอยู่ไม่กี่คนหรอก แล้วทุกอย่างจะเกิดการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นได้อย่างไรถ้าเอาแต่คัดค้านกัน ไม่ร่วมมือ

บางครั้งก็ไม่เข้าใจ ไม่มีข้อมูล เขาทำงานกันมาแทบตาย

หลายๆ อย่างมีการวิเคราะห์ มีการวิจัย เอาผลการวิจัยมา มีการประชุมร่วมไม่รู้กี่สิบครั้ง แล้วเอาตอนท้ายมาวิพากษ์วิจารณ์ แล้วก็ไปคิดเอาเอง

ต้องร่วมมือกันทำงาน ไม่ว่าจะกลุ่มการเมือง กลุ่มประชาธิปไตย กลุ่มสิทธิมนุษยชน หรือกลุ่มอื่นๆ

อยากให้ทุกคนนั้นได้คำนึงถึงผลประโยชน์ร่วมกันของคนไทย ของประเทศชาติ และชื่อเสียงของเรา ประเทศของเราในประชาคมโลกอีกด้วย

“ผมในฐานะเป็นนายกรัฐมนตรี และหัวหน้ารัฐบาล ก็เพียงแต่อยากจะพูดเตือนให้สังคม ให้ประชาชน ช่วยกันเรียนรู้ ช่วยกันเฝ้าระวัง แล้วก็ทำความเข้าใจให้ดีที่สุด นึกถึงสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ต้องนึกถึงอยู่เสมอคือการทำอะไรก็ตาม ต้องมุ่งสู่ผลประโยชน์ของชาติ ของประชาชนคนไทยเป็นหลัก ประเทศชาติต้องมีความสงบสุข มั่นคง ประชาชนปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน มีเศรษฐกิจที่ดีเพียงพอในทุกระดับจึงจะเกิดขึ้นได้ ในโลกแห่งความเป็นจริง”

พล.อ.ประยุทธ์ย้ำถึง “โลกแห่งความเป็นจริง” อย่างน้อยสองครั้ง

ในการทดลองแถลงงานของ คสช. และรัฐบาล

แต่กระนั้น

ย่อมมีอีกหลายคนกลับรู้สึกว่า สิ่งที่หัวหน้า คสช. พูดยาวเหยียดข้างต้นถึง 3 ปีที่ผ่านมา เป็นดังภาพที่แลเห็นผ่านแว่นวีอาร์ 3 มิติ

นั่นเป็นโลกเสมือนจริง? มากกว่า