เศรษกิจ / ท่องเที่ยวไทย ถึงทางแยก… ทุบโต๊ะเปิดประเทศ หรือเปิดๆ ปิดๆ

เศรษกิจ

 

ท่องเที่ยวไทย ถึงทางแยก…

ทุบโต๊ะเปิดประเทศ หรือเปิดๆ ปิดๆ

 

เมื่อประเทศไทยช่วงนี้ยังเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่ได้

ความคาดหวังในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจึงหนักไปกับการกระตุ้นตลาดในประเทศแทน

ดังนั้น ช่วงนี้มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยจึงพุ่งเป้าจูงใจไทยเที่ยวไทย ผ่านโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” และ “กำลังใจ”

ซึ่งเรื่องนี้ นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ผลักดันเต็มที่ในการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 (ศบค.) เพื่อโน้มน้าวให้ประชุม ศบค.เปลี่ยนเงื่อนไข

หวังเป็นไม้เด็ดดึงดูดใจ!!

 

ย้อนดูตัวเลข “เราเที่ยวด้วยกัน” พบว่า มีจำนวนผู้ลงทะเบียนรวม 6.59 ล้านคน ลงทะเบียนสำเร็จแล้ว 6.28 ล้านคน มีผู้ลงทะเบียนไม่สำเร็จ 0.3 ล้านคน ซึ่งในกรณีนี้สามารถลงทะเบียนใหม่ได้

โดยในจำนวนนี้ มีผู้ใช้สิทธิโรงแรมแล้วกว่า 3,508,008 สิทธิ จากทั้งหมด 5 ล้านสิทธิ ทำให้มีมูลค่าห้องพักที่จองทั้งหมด 9,543.4 ล้านบาท

แบ่งเป็น จ่ายโดยประชาชน 5,901.9 ล้านบาท และรัฐสนับสนุน 3,641.5 ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ยห้องพักต่อคืนที่จอง 2,784 บาท มีจำนวนโรงแรมที่มีการจองทั้งสิ้น 4,812 แห่ง

ส่วนผู้ที่ได้รับคูปองอาหาร 782,568 ราย ยอดใช้จ่ายทั้งหมด 3,002.6 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดใช้จ่ายประชาชนอยู่ที่ 1,849.4 ล้านบาท ยอดใช้จ่ายผ่านคูปอง 1,153.2 ล้านบาท

ในจำนวนทั้งหมด มีผู้ทำการเช็กอินแล้วจำนวน 1,233,363 ห้อง

สำหรับบัตรโดยสารเครื่องบินขณะนี้ มีผู้ลงทะเบียนได้รับสิทธิเงินคืนค่าบัตรโดยสารแล้ว 82,104 ราย จำนวนจองที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว 101,472 ใบ

แบ่งเป็นจำนวนบัตรโดยสารหรือผู้โดยสารที่ได้รับสิทธิแล้ว 177,870 สิทธิ จากจำนวนทั้งหมด 2 ล้านสิทธิ คิดเป็นมูลค่าบัตรโดยสารที่ได้รับสิทธิแล้วจำนวน 469.96 ล้านบาท

ซึ่งในยอดทั้งหมดแบ่งเป็นการจ่ายโดยประชาชน 310.28 ล้านบาท รัฐบาลสนับสนุน 159.68 ล้านบาท

ในส่วนของผู้ประกอบการ แบ่งเป็นโรงแรมและที่พัก ลงทะเบียนรวม 8,009 แห่ง ร้านอาหาร ลงทะเบียนรวม 64,790 ร้าน สถานที่ท่องเที่ยว ลงทะเบียนรวม 1,930 แห่ง

และร้านค้าโอท็อป ลงทะเบียนรวม 1,289 แห่ง

 

เพื่อให้การท่องเที่ยวไทยทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยได้ลดเป้าจากเดิม ยึดตัวเลขเป้าหมายรายได้จากภาคการท่องเที่ยวทั้งปี 2563 อยู่ที่ 1.23 ล้านล้านบาท เป็นรายได้รวมทั้งตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ และตลาดไทยเที่ยวไทย ซึ่งน่าจะสามารถทำได้ใกล้เคียง

เนื่องจากขณะนี้ทั้งในแง่จำนวนและรายได้ติดลบ 60% แบ่งเป็นรายได้จากตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ 8.28 แสนล้านบาท รายได้จากตลาดไทยเที่ยวไทย 4.02 แสนล้านบาท

ไม่ว่าเงื่อนไขปรับเพิ่มการให้สิทธิอย่างไร ก็เพื่อให้บรรลุเป้าหมายปี 2564 ททท.วางแผนปฏิบัติการส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยมุ่งเป้ารักษาเชิงการแข่งขันให้ไทยยังสามารถครองอันดับประเทศ ที่มีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงสุด 1 ใน 5 ของโลกให้ได้

ฝันหวานจะสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวรวม 7 แสนล้านบาท-1.5 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น รายได้ตลาดในประเทศราว 4-5 แสนล้านบาท และรายได้จากตลาดต่างประเทศราว 3 แสนล้าน-1 ล้านล้านบาท

แม้ยังเหลืออีก 1 เดือนกว่าจะจบปี 2563 แต่ ททท.ให้มองไกลถึงปีหน้า 2564 แล้ว ประกาศแผนงาน ตั้งแต่เตรียมความพร้อมจัดทำเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ ครั้งนี้ทำแบบดาวกระจาย มุ่งตอบโจทย์ทุกแบบของนักท่องเที่ยว ตั้งแต่กลุ่มคนโสด กลุ่มคนความหลากหลายทางเพศ กลุ่มคนชอบเที่ยววัด-ไหว้พระทำบุญ กลุ่มนักท่องเที่ยวเน้นกินอาหารดังอาหารอร่อย

กลุ่มต่างชาติชอบทำงานทางด้านดิจิตอล

และกลุ่มคนต้องการท่องเที่ยวแบบทัวร์ฟื้นฟูสุขภาพ เพิ่มสมดุลในร่างกายและคลายเครียดจากการจมกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 มานาน แพ็กเกจแต่ละกลุ่มมีอย่างไร อีกไม่นานได้เห็นแน่

แต่ละเส้นทางก็แตกแขนงไปอีก ยกตัวอย่าง เส้นทางท่องเที่ยวสละโสด มีทั้งเส้นทางเที่ยวบนเครื่องบิน และเส้นทางล่องเรือแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อไปทำกิจกรรมเกี่ยวข้องกับการสละโลด อาทิ ไหว้พระ ทำบุญ สปีดเดทติ้ง ททท.ดึงผู้ประกอบการเรือเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เส้นนี้นำร่องต้นปี 2564 ความพิเศษคือจะเป็นเส้นทางเปิดให้เฉพาะ “คนโสด” เท่านั้น ที่จะร่วมเดินทางได้ โดยหวังว่าผู้ร่วมเส้นทางบุญจะส่งเกิดสานสัมพันธ์และพบเนื้อคู่ ต้อนรับเดือนกุมภาพันธ์ เดือนแห่งความรักพอดี

ซึ่งในขณะนี้คนไทยสถานะเป็นโสดก็ไม่น้อย และเปิดกว้างกับการออกเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้นเป็นทั้งสีสันและการเพิ่มมูลค่าธุรกิจที่เกี่ยวข้องไม่น้อย!!

 

แม้จะโหมตลาดในประเทศ แต่ตลาดต่างประเทศก็ไม่อาจละทิ้งได้ ททท.ยังต้องเกาะติดอย่างใกล้ชิด เพราะหากไม่เตรียมพร้อมพอ อาจเสียตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ประเทศเพื่อนบ้านไทยได้ เพราะรอบบ้านไทยก็มุ่งหวังดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติหลังคลายวิตกโควิดแล้วเช่นกัน ซึ่งไทยก็ยังชูจุดขายไทยปลอดเชื้อโควิด-19 กว่า 150 วันแล้ว

ขณะที่สัญญาณเตือนถึงการเปิดรับต่างชาติ ควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ต้องไม่ช้าไม่เร็วจนเกินไป!!

หนึ่งในนั้น นายศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก ระบุไว้ว่า จากวิกฤตโควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจไทยและทุกประเทศทั่วโลกมานานหลายเดือน เมื่อเห็นจีนเริ่มฟื้นตัวและคุมการแพร่โควิดได้อย่างรวดเร็ว กลุ่มประเทศในอาเซียนรวมถึงไทย ก็คาดหวังฟื้นชาวจีนมาเที่ยวด้วย

ประกอบกับเมื่อเศรษฐกิจจีนฟื้นย่อมฉุดเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว เพราะไทยเป็นแหล่งห่วงโซ่สำคัญของจีนประเทศหนึ่ง อีกทั้งไทยรับมือกับปัญหาโควิดได้ดี และกลุ่มประเทศในอาเซียนได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ไม่รุนแรง จึงมองเห็นอนาคตเศรษฐกิจไทยที่ดีขึ้นจากนี้

ทั้งยังเตือนอีกว่า

“อยากให้รัฐบาลอย่าเพิ่งเร่งเปิดประเทศ ควรจะเปิดแบบค่อยเป็นค่อยไป เปิดทีละนิดแล้วตรวจสอบผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยชาวต่างชาติที่ควรเปิดให้เข้าประเทศได้ ส่วนเป็นกลุ่มนักลงทุนที่จะเข้ามาดำเนินธุรกิจในไทย เพราะจะได้เกิดการลงทุน และการจ้างงาน แก้ปัญหาการว่างงานได้ตรงจุด เพราะการลงทุนต้องทำต่อเนื่องหยุดไม่ได้ โดยปรับกฎระเบียบเข้าประเทศให้คล่องตัวขึ้น ต้องเข้มงวดต่อกระบวนการตรวจโควิด”

“ไม่อยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับตัวเลขการเติบโตของจีดีพีมากเกินไป ควรเน้นเรื่องคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยของคนไทย เพราะหากปล่อยให้เหมือนสหรัฐ หรือยุโรป ที่ปิดๆ เปิดๆ ประเทศ ไม่มีมาตรการที่รัดกุมทำให้มีคนเจ็บป่วยและตายเป็นจำนวนมาก จะกระทบต่อเศรษฐกิจที่รุนแรงกว่า แต่หากไทยค่อยๆ เปิดอย่างสมดุล จะทำให้ฟื้นตัวได้เร็วในระยะยาว เนื่องจากทรัพยากรมนุษย์มีคุณค่ามาก ต้องใช้เวลาในการสร้าง 20-30 ปี หากคนกลุ่มนี้เสียชีวิตลงจะสร้างใหม่ได้ยาก ทำให้แม้ว่าโควิดจะผ่านไป แต่จะขาดคนเข้ามาพัฒนาประเทศ หากคนไทยไม่ตายก็กลับมาฟื้นเศรษฐกิจใหม่ได้ง่าย”

กล่าวเตือนไว้ในตอนท้ายอีกว่า หากประเทศไทยรักษาคนไว้ไม่ให้เกิดการสูญเสีย กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หยุดไปในปีนี้จะกลับมาโตใหม่ได้เอง กำลังการผลิตจะกลับมาใช้ได้เต็มที่ เพราะจะมีกำลังคงเข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ต่างจากยุโรป และสหรัฐจะกลับมาช้า เพราะคนหายไปเยอะ อาจส่งผลแย่มากกว่าที่คาดคิด

อาจไม่ตรงกับใจผู้ประกอบการท่องเที่ยวและธุรกิจเกี่ยวเนื่อง เช่น ค้าปลีก ของที่ระลึก บริการภายในประเทศ เพราะมองว่าหากรอนานเกินไป ภาคธุรกิจท่องเที่ยวหลายแสนล้านบาทและเศรษฐกิจไทยจากนี้ อาจทรุดจนกู่ไม่กลับก็ได้

    ซึ่งก็รอเพียงผู้มีอำนาจออกมาเคาะ “เวลาที่เหมาะสม” นั้นอยู่ตรงไหน