การมาของ “มิโลวาน ราเยวัช” โค้ชใหม่โปรไฟล์หรูทีม “ช้างศึก” กับผลงานที่รอพิสูจน์

เปิดตัวอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว สำหรับ “มิโลวาน ราเยวัช” กุนซือชาวเซอร์เบีย วัย 63 ปี ที่เข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกสอนฟุตบอลทีมชาติไทย เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคมที่ผ่านมา ด้วยสัญญา 1 ปี บวกออปชั่นต่อเพิ่มอีก 1 ปี

ส่วนค่าจ้างไม่มีการเปิดเผยตัวเลขที่ชัดเจน แต่คาดว่าน่าจะได้รับมากกว่า 2 ล้านบาทต่อเดือน

การมาของราเยวัชถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของวงการฟุตบอลไทย นับตั้งแต่ “ซิโก้ – เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง” ประกาศยุติบทบาทหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย เมื่อวันที่ 31 มีนาคม

หลังจากนั้นมีโค้ชระดับโลกแวะเวียนเข้ามาเสนอตัวเพื่อหวังจะคุมทีมชาติไทยด้วยกันหลายคน รวมถึงโค้ชบางคนที่มอบหมายให้เอเย่นต์นำโปรไฟล์มานำเสนอต่อสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ

ซึ่งเรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ถึงที่สุดแล้ว สมาคมตัดสินใจเลือกราเยวัช เนื่องจากเป็นโค้ชที่มีจิตวิทยาสูง มีประสบการณ์การคุมทีมในทวีปเอเชียมาแล้ว อย่างสโมสร “อัล อาห์ลี” ในลีกซาอุดีอาระเบีย และทีมชาติกาตาร์

ที่สำคัญเคยพาทีมชาติกานาผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย ฟุตบอลโลกปี 2010 ก่อนจะแพ้ในการดวลจุดโทษให้กับทีมชาติอุรุกวัย

ประสบการณ์ระดับนี้ถือว่าเป็นไปตามเงื่อนไขที่สมาคมวางเอาไว้

ราเยวัชเดินทางมาพร้อมทีมงาน 3 คน คือ “โซรัน ยานโควิช” ผู้ช่วยโค้ช, “ซาซ่า โทดิช” โค้ชผู้รักษาประตู, “เนบอยซ่า สตาเมนโควิช” โค้ชฟิตเนส ที่จะตามมาสมทบภายหลัง

พร้อมด้วย “เนนาด กลิกิช” ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นล่ามประจำตัวให้กับราเยวัช โดยช่วยแปลภาษาเซอร์เบียเป็นอังกฤษ

ราเยวัชบอกว่ารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย ส่วนตัวเชื่อว่าฟุตบอลไทยมีโอกาสที่จะพัฒนาต่อไปได้อีก

อย่างไรก็ตาม ตนคงจะต้องใช้เวลาและต้องเจอกับนักเตะก่อน จึงจะสามารถบอกได้ว่าทีมชาติไทยจะมีสไตล์การเล่นแบบใด แต่นักเตะไทยมีพรสวรรค์ดีอยู่แล้ว เชื่อว่าทุกคนจะปรับตัวเข้ากับสไตล์การเล่นหรือแท็กติกต่างๆ ได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ ราเยวัชบอกอีกว่า ไม่รู้สึกกดดันที่มารับช่วงต่อจากโค้ชซิโก้ โดยจะขอทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด และเชื่อว่าทีมชาติไทยจะสามารถผ่านไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้ในปี 2022 ที่ประเทศกาตาร์

แน่นอนว่าการตัดสินใจเลือกราเยวัช ย่อมมีทั้งกระแส “เห็นด้วย” และ “ไม่เห็นด้วย” แต่ “บิ๊กอ๊อด – พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” นายกสมาคมฟุตบอลฯ ยืนยันว่าราเยวัชคือคนที่เหมาะสม

อีกทั้งเชื่อใจ “โค้ชเฮง – วิทยา เลาหกุล” อุปนายกฝ่ายพัฒนาเทคนิค ที่ผ่านร้อนผ่านหนาว มีประสบการณ์โชกโชน ทั้งสมัยเป็นนักเตะ ก่อนก้าวขึ้นมาคุมทีมชาติไทย โดยบิ๊กอ๊อดมอบหน้าที่ให้โค้ชเฮงเป็นคนคัดเลือกหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมช้างศึกและมั่นใจว่าจะตัดสินใจไม่ผิด เพราะเข้าใจฟุตบอลไทยเป็นอย่างดี

“การคัดเลือกหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย ผมมอบอำนาจให้โค้ชเฮงเป็นคนตัดสินใจ เพราะโค้ชเฮงมีประสบการณ์ เคยเป็นอดีตนักเตะทีมชาติไทย และอดีตโค้ชทีมชาติไทย ย่อมมีความรู้ในเรื่องของนักเตะและโค้ชเป็นอย่างดี”

“ที่โค้ชเฮงเลือกราเยวัชก็ด้วยหลายเหตุผล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประสบการณ์ รูปแบบการทำทีม ตลอดจนเรื่องจิตวิทยาและทีมงาน ทำให้ราเยวัชเหนือกว่าผู้สมัครคนอื่นๆ” บิ๊กอ๊อดเผย

พล.ต.อ.สมยศกล่าวอีกว่า ก่อนที่สมาคมจะเซ็นสัญญากับราเยวัช ก็ได้ศึกษาผลงานการคุมทีมของเขาด้วยว่าเคยทำทีมประสบความสำเร็จแค่ไหน รวมถึงปัญหาในการคุมทีมที่ผ่านมา

และเมื่อได้พบกับราเยวัช ก็ถามในสิ่งที่อยากรู้ ซึ่งเขาก็เล่าให้ฟัง เช่น ปัญหาในการคุมทีมชาติแอลจีเรียเพียงระยะสั้นเกิดจากอะไร? เราฟังแล้วก็เข้าใจ เขาคือโค้ชที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง ถ้าเจอทีมที่ไม่เปิดโอกาส หรือไม่ยอมรับในความสามารถ มันก็จะเกิดปัญหาได้

เมื่อถามว่ากลัวประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดกับแอลจีเรียจะซ้ำรอยในไทยหรือไม่?

พล.ต.อ.สมยศประกาศกร้าวว่า “ไม่กลัว” และมั่นใจว่านักเตะไทยจะไม่งอแงกับการเปลี่ยนแปลงหัวหน้าผู้ฝึกสอน เพราะทุกคนเป็นนักเตะอาชีพอย่างแท้จริง

“ผมเคยถามโค้ชเฮงว่าจะมีปัญหาอะไรกับนักเตะไทยไหม? เขาบอกว่าไม่ต้องกังวล เพราะนักเตะได้ก้าวผ่านความเป็นสมัครเล่นแล้ว ตอนนี้ทุกคนเป็นนักเตะอาชีพ ถ้าเขาทำผลงานไม่ดี เขารู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

ส่วนสาเหตุที่สมาคมเซ็นสัญญากับราเยวัชเพียง 1 ปี เพราะเขาเป็นคนเสนอเอง เพื่อไม่เป็นภาระผูกพันกับสมาคม หากทำผลงานไม่ดี แต่สมาคมไม่ได้ขีดเส้นตายว่าเขาต้องพาทีมชาติไทยเก็บชัยชนะรวด 3 นัดสุดท้ายในศึกฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก

แต่สมาคมจะดูความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับทีมชาติไทยเป็นเครื่องชี้วัดว่าจะต่อสัญญาหรือไม่?

ส่วนนักวิเคราะห์ฟุตบอลชื่อดัง ที่ตอนนี้คุมทีมอาร์มี่ ยูไนเต็ด ในศึกไทยลีก 2 อย่าง “โค้ชตุ้ม – รังสิวุฒิ ชโลปถัมภ์” มีมุมมองต่อกรณีนี้ว่าการมาของราเยวัชจะทำให้เกิดการแข่งขัน เพราะนักเตะขาประจำที่ติดทีมชาติในยุคซิโก้ ก็อาจไม่มีชื่อติดทีมในยุคราเยวัช

“เมื่อมีการเปลี่ยนโค้ช นักเตะจะตั้งใจรับฟังแนวทางของโค้ชใหม่ เพราะเป็นประโยชน์ต่อตัวเขาเอง ที่สำคัญพวกเขาจะต้องโชว์ผลงานให้ดี เพราะมันไม่เหมือนตอนซิโก้ทำ ที่พวกเขา (ถูกเรียกตัว) ติด (ทีมชาติ) ประจำ แน่นอนว่าโค้ชใหม่จะต้องเลือกคนที่เล่นเข้ากับระบบเขาได้ก่อน”

“แต่นักเตะไทยตัวเล็ก เขา (ราเยวัช) คงเปลี่ยนแปลงอะไร (ในส่วนนี้) ไม่ได้ ดังนั้น ต้องมาดูเรื่องระบบการเล่นว่าจะใช้ความคล่องตัวไปสู้กับทีมอื่นยังไง อยู่ที่เขาจะมองอย่างนั้นหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาเขาไม่ได้คุมทีมที่มีนักเตะรูปร่างเหมือนคนไทย”

“ราเยวัชเคยคุมทีมไปฟุตบอลโลกมาแล้วก็จริง แต่ทีมชาติกานาที่เขาเคยทำ มันคือทีมที่มีโอกาสไปอยู่แล้ว ไม่ใช่ทีมที่ไม่มีโอกาส เอามาวัดกันไม่ได้หรอก แต่ถ้าเขาคุมสิงคโปร์, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย ได้ไปฟุตบอลโลก ผมว่าสมาคมควรรีบเอาเขามาทำทีมชาติไทย เพราะเขาเข้าใจฟุตบอลเอเชียดีแล้ว” นักวิเคราะห์-โค้ชฟุตบอลชาวไทยกล่าว

แต่ถึงกระนั้นโค้ชตุ้มยอมรับว่าไม่เข้าใจบรรทัดฐานการเลือกหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย เพราะทุกครั้งที่โค้ชไทยทำทีมไม่ประสบความสำเร็จ สมาคมก็จะหันมาใช้บริการโค้ชชาวต่างชาติ พอโค้ชนอกทำทีมล้มเหลว ก็จะกลับมาใช้โค้ชไทย ซึ่งเป็นแบบนี้มากว่า 30 ปีแล้ว

ส่วนการตัดสินใจของสมาคมจะถูกต้องหรือไม่? โค้ชตุ้มมองว่าอยู่ที่ผลงาน และอยากให้แฟนบอลหรือคนที่รักฟุตบอลไทย ให้โอกาสราเยวัชได้ทำงานก่อน

“แต่หากราเยวัชทำผลงานไม่เข้าตา เราคงเห็นความเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง” โค้ชตุ้มกล่าว

ขณะที่มุมมองของแฟนบอลที่ติดตามเชียร์ทีมชาติไทยมานานกว่า 16 ปี อย่าง “ต๋อง – ชัยวัฒน์ แก้วผลึก” ประธานชมรม “เชียร์ไทย พาวเวอร์” บอกว่า ตลอดระยะเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมา โค้ชซิโก้ได้สร้างมาตรฐานไว้ค่อนข้างสูง ทำทีมชาติไทยคว้าแชมป์มากมาย

ดังนั้น โจทย์ของราเยวัชคงเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากต้องทำผลงานให้ได้เทียบเท่าหรือมากกว่า ถึงจะสอบผ่าน

แฟนบอลชื่อดัง กล่าวย้ำอีกว่า ไม่ว่าฟุตบอลไทยจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร แต่สิ่งที่จะไม่เปลี่ยนคือ กำลังใจจาก “ผู้เล่นคนที่ 12” หรือกองเชียร์ ที่พร้อมยืนหยัดเคียงข้างฟุตบอลทีมชาติไทยตลอดไป

สำหรับราเยวัชจะประเดิมคุมทีมชาติไทยในเกมอุ่นเครื่อง ด้วยการออกไปเยือนทีมชาติอุซเบกิสถาน วันที่ 6 มิถุนายน ก่อนทำศึกฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก 12 ทีมสุดท้าย โซนเอเชีย นัดที่ 8 พบกับทีมชาติสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน วันที่ 13 มิถุนายน

นับเป็นย่างก้าวใหม่ของทีมช้างศึกภายใต้การนำทัพของ มิโลวาน ราเยวัช

แต่ผลงานจะออกมาสวยหรูสมกับโปรไฟล์แค่ไหน อีกไม่นานคงได้คำตอบ