ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 19 - 25 พฤษภาคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ |
เผยแพร่ |
แทบทุกเมืองในพม่าจะมีทั้งพระและแม่ชีพร้อมสามเณรและสามเณรี น่าเอ็นดูตรงสามเณรและสามเณรีตัวน้อยๆ ยังไม่สิบขวบก็มี เดินเรียงแถวบิณฑบาตกันตลอดเวลาทั้งเช้าสายบ่ายเย็น
ตอนเช้านั้นรับบาตรอาหาร ตอนบ่ายรับบาตรอาหารแห้ง เช่น ข้าวสารและปัจจัยอื่น มีเงิน เป็นต้น รับบาตรแล้วก็จะสวดมนต์ให้พรเสียงแจ้วๆ ได้ยินอยู่เกือบตลอดเวลา
บางเมือง เช่น เมืองปิ่นอูหวิ่น มีขอทานเดินขอทานขวักไขว่อยู่กับขบวนแถวพระเณรเหล่านี้
ทำให้ประจักษ์ชัดถึงความหมายของคำว่า “ภิกขุ” คือ “ผู้ขอ” ภิกขุเป็นศัพท์บาลี สันสกฤตเรียกภิกษุ ดังเรารู้ว่าหมายถึงพระนั่นเอง
ผู้รู้ท่านอธิบายว่า คำภิกขุหรือภิกษุมีรากศัพท์จาก ภิกขะหรือภิกษะ แปลว่า ขอแบ่ง คือการขออาหาร เลยได้รู้ไปถึงคำภิกขาจารคือการเที่ยวขออาหาร
สรุป ภิกขุคือผู้ยังชีพด้วยการขอ
แต่ผู้ยังชีพด้วยการขอที่ไม่ใช่ภิกขุหรือภิกษุก็ยังมีอยู่ด้วย คือขอทาน เป็นต้น
ยังมีอีกคำคือ “ภิกขเว” ซึ่งหมายถึง “ภิกษุทั้งหลาย” มักเป็นคำตรัสของพระพุทธองค์เมื่อกล่าวแก่พระภิกษุโดยทั่วไป
การเดินบิณบาตของพระเณรและสามเณรีในพม่าจึงเท่ากับเป็นการสืบทอดพระจริยวัตรของพระผู้ยังชีพด้วยการขออันเป็นกิจของภิกขุโดยแท้
น่าสังเกตคือ ในอินเดีย เนปาล และในประเทศอื่น เช่น ศรีลังกา ลาว เขมร จีน แม้ไทยเราเองก็หาได้มีจริยวัตรเช่นภิกขุในพม่าไม่
เป็นได้ว่าประเทศอื่นนั้นนับถือและจำแนกจริยวัตรของพระภิกษุไว้เป็นพิเศษจำเพาะ เช่น ออกบิณฑบาตช่วงเช้าเท่านั้น เป็นต้น
ต่างกับในพม่าที่พระเณรยังดำรงจริยวัตรผู้ขอตลอดเวลา
ตัดค่านิยมวัฒนธรรมทางชนชั้น เรื่องยาจกขอทานออก ต้องถือว่า พม่านับถือพระพุทธศาสนาเป็นชีวิต คือถือเป็นวิถีชีวิตอยู่ในครรลองของสังคมนั่นเทียว
เป็นขนบครรลองที่มิอาจล่วงละเมิดด้วย
มีอยู่คืนหนึ่งที่มัณฑะเลย์ นักท่องเที่ยวฝรั่งถูกจับเหตุเพราะไปถอดปลั๊กลำโพงกระจายเสียงพระสวดมนต์ในวัดข้างโรงแรมที่พัก อ้างว่าหนวกหูรบกวนเวลาหลับนอนเขา
ก็เลยต้องไปนอนตะราง
อีกเรื่องคือ เล่าว่าในพม่านั้น คนนับถือพุทธจะไปแต่งงานกับคนต่างศาสนาไม่ได้ ส่วนคนต่างศาสนาแต่งกับผู้นับถือพุทธได้ โดยต้องเปลี่ยนเป็นนับถือพุทธด้วยกัน
เรื่องนี้เท็จจริงไม่ประจักษ์ เชิญท่านผู้รู้ไขความละกัน
ความเคร่งและคลี่คลายจนกลายเป็นครรลองของสังคมนี้น่าสนใจ ด้วยพม่านั้นดูจะเป็นประเทศต้นๆ ที่พระพุทธศาสนาเผยแผ่ไปจากอินเดีย สมัยต้นพุทธกาลเมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชทรงส่งเสริมและเริ่มส่งสมณทูตออกเผยแผ่พระพุทธศาสนามายังตะวันออก ดังเรียก “สุวรรณภูมิ” อันมีพระโสณะและพระอุตระ เป็นเหตุให้สร้างมหาเจดีย์ชเวดากองในย่างกุ้ง จนถึงพระปฐมเจดีย์ในไทยเรานั้นด้วย
กระทั่งที่สุดเรียกรวมประเทศทางตะวันออกย่านอุษาคเนย์ทั้งหมดที่เราเรียกว่า “อาเซียน” นี้เองว่าเป็น “สุวรรณภูมิ”
แถบแผ่นดินใหญ่เรียกสุวรรณภูมิ
แถบที่เป็นเกาะเรียกสุวรรณทวีป
จําเพาะพม่านั้นมีชนชาติมอญเป็นใหญ่ ทั้งดูจะเป็นต้นทิศต้นทางของสุวรรณภูมิเอาเลยด้วยซ้ำ เห็นได้จากอารยธรรมมอญที่แผ่อิทธิพลจากพม่ามาไทยไปจรดเขมร ดังภาษาตระกูลมอญเขมร เป็นต้น
สำคัญคือ องค์เจดีย์ ก่ออิฐตั้งแต่ชเวดากอง พุกาม จนยุคทวารวดีล้วนก่อด้วยอิฐทั้งสิ้น ดังเราเรียก “อิฐมอญ” นั้น
เนื่องเพราะประวัติศาสตร์พม่าเริ่มอาณาจักรพุกามสมัยพระเจ้าอโนรธามังช่อ ที่ไทยเรียกพระเจ้าอนิรุธ ทรงตีเมืองสะเทิม เมืองหลวงใหญ่ของอาณาจักรมอญแล้วกวาดต้อนช่างและชาวมอญมาสร้างเจดีย์ชเวสิกอง เป็นปฐมชัยของพระองค์ดังชื่อชเวสิกองนั้น พุกามกลายเป็นทุ่งเจดีย์ว่ามีกว่าสี่พันองค์
ถิ่นพุกามแต่เดิมว่าเป็นที่อยู่ของชนเผ่า “พยู” ชื่อ “พุกาม” ก็คือ “พยู+คาม” แปลว่า ถิ่นหรือย่านของชาวพยู
พระเจ้าอโนรธามังช่อก็ว่าเป็นชนเผ่า “พม่า” ซึ่งว่าสืบเชื้อมาจากคำว่า “พรหม” หรือ “พรหมมา”
เหล่านี้ล้วนมีอารยธรรมมอญเป็นพื้นด้วยกันสิ้น อารยธรรมมอญที่มีวิถีชีวิตตอนกลายเป็นครรลองของสังคมนี้คืออิทธิพลของพระพุทธศาสนา เป็นแก่นแกนดังยอดเจดีย์พุ่งปลายไปที่ลูกแก้วหรือเม็ดน้ำค้างนั้น
แจ่มกระจ่างดังให้เห็นภัยในสังสารวัฏหรือวัฏสังสาร สมคำว่า “ภิกขุ” ในอีกความหมายคือ “ผู้เห็นภัย” จากคำ ภิกขะ (ภย+อิกขะ)
ดังนี้แล
องค์เจดีย์
ฐานบัว คือ ฐานบัทม์ ประทับทรงเป็นองค์ระฆัง เชิดชั้นเป็นบัลลังก์ เกลียวกรอง เป็นปล้องไฉน ปลีปลาบ ประทับทรง |