แมลงวันในไร่ส้ม/ รัฐบาล-ราษฎร ต่างก็ ‘ยกระดับ’ ระทึกใครจะอยู่-ไป

แมลงวันในไร่ส้ม

รัฐบาล-ราษฎร

ต่างก็ ‘ยกระดับ’

ระทึกใครจะอยู่-ไป

 

สถานการณ์การชุมนุมของคณะราษฎร ยังขยายตัวไปเรื่อย โดยชูข้อเรียกร้อง 3 ข้อ

การประชุมรัฐสภาเพื่อลงมติ 7 ญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อ 17-18 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มีไฮไลต์ที่ฉบับไอลอว์ ที่ใช้ช่องทางให้ประชาชนเข้าชื่อสนับสนุน 1 แสนคน และทางกลุ่มผู้ชุมนุมสนับสนุน

รัฐบาลสั่งใช้มาตรการเข้มข้น ควบคุมพื้นที่รอบๆ รัฐสภา

โดยเฉพาะวันที่ 17 พฤศจิกายน ส.ส. และ ส.ว.ดาหน้าอภิปรายถล่มรัฐธรรมนูญไอลอว์ว่ามีการสนับสนุนจากต่างชาติ

ด้านนอกสภา ตำรวจฉีดน้ำผสมสารเคมีใส่ผู้ชุมนุมหลายระลอกด้วยกัน ใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยางเป็นระยะ

มีม็อบเสื้อเหลืองมาสนับสนุนรัฐบาล และเกิดการขว้างปาปะทะ และมีผู้ใช้ปืนยิงใส่ผู้ชุมนุมคณะราษฎรได้รับบาดเจ็บหลายคน

ก่อนที่รัฐสภาขานชื่อลงมติ 7 ร่างรัฐธรรมนูญ และรัฐสภารับหลักการ 2 ฉบับ ได้แก่ ร่างแก้ไขมาตรา 256 เพื่อตั้ง ส.ส.ร.มายกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ 2 ร่างของรัฐบาลและฝ่ายค้าน

วันที่ 18 พฤศจิกายน ผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่งเดินทางไปสาดสี เป็นปฏิบัติการเอาคืน หลังจากที่ตำรวจฉีดน้ำ และปล่อยให้เกิดการปะทะระหว่างม็อบ 2 ฝ่าย จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก

 

รุ่งขึ้น 19 พฤศจิกายน มีประชาชนอีกกลุ่มเดินทางไปทำความสะอาดป้ายหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และใช้สีลบข้อความต่างๆ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ออกแถลงการณ์นายกรัฐมนตรี

ระบุว่า สถานการณ์การชุมนุมที่ผ่านมา รัฐบาลและทุกฝ่ายกำลังร่วมกันหาทางออกโดยสงบและสันติ บนพื้นฐานของกระบวนการตามกฎหมาย และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

แต่สถานการณ์ดังกล่าวยังไม่มีท่าทีที่จะบรรเทาลง แม้รัฐบาลได้แสดงความจริงใจในการแก้ปัญหา โดยหน่วยงานด้านความมั่นคงได้ใช้ความพยายามปฏิบัติหน้าที่ ในการรักษาความสงบเรียบร้อย รวมทั้งติดตาม และประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ดำเนินการต่างๆ ตามหลักสากลด้วยความระมัดระวัง โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของการรักษาบรรยากาศของความรักความสามัคคีปรองดองของทุกคนในชาติ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของบ้านเมือง และประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเป็นสำคัญ

สถานการณ์ยังคงไม่คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีนัก และมีแนวโน้มจะพัฒนาไปสู่ความขัดแย้ง นำไปสู่ความรุนแรงมากยิ่งขึ้น หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปอาจเกิดความเสียหายต่อประเทศชาติ และสถาบันอันเป็นที่รักยิ่ง รวมทั้งความสงบสุขปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนโดยทั่วไป

รัฐบาลและหน่วยงานด้านความมั่นคงจึงจำเป็นต้องเพิ่มความเข้มข้นในการปฏิบัติ โดยจะบังคับใช้กฎหมายทุกฉบับ ทุกมาตราที่มีอยู่ ดำเนินการต่อผู้ชุมนุมที่กระทำความผิด ฝ่าฝืนกฎหมาย เพิกเฉยต่อการเคารพสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น โดยจะดำเนินคดีต่างๆ ให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมของประเทศ ที่สอดคล้องกับหลักการสากล จึงขอแจ้งมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน

กระแสข่าวกระหึ่มว่า รัฐบาลเตรียมนำเอา ป.อาญา มาตรา 112 มาใช้กับผู้ชุมนุม

วันที่ 20 พฤศจิกายน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้สัมภาษณ์ถึงแถลงการณ์เมื่อ 19 พฤศจิกายน ว่า เป็นการเตือนประชาชนให้รับทราบว่ารัฐบาลจำเป็นใช้กฎหมายทุกฉบับ ซึ่งที่ผ่านอาจมีการอะลุ่มอล่วยกันบ้าง แต่ขณะนี้เกินเลยไปมากแล้ว

จึงคิดว่าสิ่งที่ตนรับมาจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เขายอมรับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงนี้

ดังนั้น เราต้องเคารพเสียงส่วนใหญ่และเป็นเจ้าหน้าที่ที่ต้องทำงานตามหน้าที่อยู่แล้ว ใครที่ไม่ทำความผิดก็ไม่น่าจะเดือดร้อน แต่คนที่ดูอยู่เขาก็จะไปร้องทุกข์กล่าวโทษ

ซึ่งก็มีการร้องทุกข์กล่าวโทษในกฎหมายฉบับนี้มาจำนวนมาก จึงต้องฟังเขาด้วย ไม่ใช่ฟังข้างใดข้างหนึ่ง ดังนั้น ทุกคนต้องกลับมาในเส้นทางปกติดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม วันนี้การบริหารราชการแผ่นดินก็กำลังเดินหน้าเรื่องเศรษฐกิจระดับฐานรากที่ประชาชนจะได้รับประโยชน์

เมื่อถามว่า จะมีการใช้มาตรา 112 ด้วยใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวย้อนถามว่า ทำไม ก็เป็นกฎหมายทุกฉบับ สื่อเข้าใจคำว่ากฎหมายทุกฉบับหรือไม่ เข้าใจภาษาไทยหรือไม่ แปลภาษาไทยกันสิคำว่ากฎหมายทุกฉบับ

เมื่อถามย้ำว่า รวมถึงมาตรา 112 ด้วยใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวย้ำซ้ำๆ ว่า ทุกฉบับ เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องดำเนินการ เพราะเป็นความคิดเห็นจากประชาชนจำนวนมาก ประชาชนทั้งประเทศที่รับไม่ได้ ทำไมสื่อไม่ไปขยายความกับคนที่ทำความดีบ้าง

“มีคนไปสาดสีโน่นนี่ แต่วันนี้มีเด็กนักเรียน มีประชาชนต้องมาคอยลบและล้างสี ทำไมไม่พูดถึงคนเหล่านี้บ้าง แต่ไปให้ความสำคัญกับคนที่ไม่สร้างความสงบเรียบร้อย ทำความผิด ละเมิดสถาบัน ผมว่าไม่ถูก สื่อให้ความสำคัญอย่างนี้ไม่ถูก คนดีๆ เขาทำตั้งเยอะแยะ มันควรจะต้องให้เขามาทำไหม ทำลายสิ่งของทางราชการ ละเมิดสถาบันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ผมคนหนึ่งที่ยอมรับไม่ได้” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

 

หลังจากมาตรการเข้มที่รอบๆ รัฐสภา เหตุการณ์ต่างๆ ยิ่งร้อนแรงมากขึ้น

กลุ่มนักเรียนเลวจัดชุมนุมที่ราชประสงค์ในวันที่ 21 พฤศจิกายน ก่อนจะหนีฝนมาชุมนุมที่ใต้สถานีบีทีเอสสยาม

มีผู้เข้าร่วมจำนวนมาก และมีกิจกรรมที่มีเนื้อหาเข้มข้น และเปิดประเด็นใหม่ๆ อาทิ การคุกคามกระทำอนาจารของครูอาจารย์ต่อนักเรียนหญิง

ผู้เข้าชุมนุมมีการผูกริบบิ้นระบุอายุ จำนวนไม่น้อยเป็นนักเรียนมัธยม

และมีกระแสข่าวยืนยันว่า ในวันที่ 25 พฤศจิกายน ผู้ชุมนุมคณะราษฎรจะรวมตัวที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แล้วเดินไปที่สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์

ส่วนการใช้ประมวลอาญา มาตรา 112 มีความเคลื่อนไหวของตำรวจ เตรียมเรียกแกนนำ เพื่อจะดำเนินคดีมาตรา 112

สถานการณ์ระหว่างรัฐบาลกับผู้ชุมนุมยกระดับไปอย่างรวดเร็ว

รัฐบาลเชื่อว่าม็อบแผ่วแล้ว ประชาชนทั่วไปรับไม่ได้ ขณะที่ผู้ชุมนุมก็เห็นว่า ประชาชนต้องการความเปลี่ยนแปลง และรัฐบาลหมดความชอบธรรมที่จะบริหารต่อไปแล้ว

ต่างฝ่ายต่างอยู่ในจุดที่ถอยไม่ได้