คอฟฟี่เบรก/…จูบ… (1)

คอฟฟี่เบรก/ประภาส อิ่มอารมณ์

…จูบ… (1)

จูบ เป็นวลีสั้นๆ แต่มีความหมายและทรงอานุภาพ ที่น่าจะเกิดขึ้นเป็นปรากฏการณ์พร้อมๆ ตั้งแต่มนุษย์มีกำเนิดขึ้นในโลกนี้

จูบ ไม่สามารถจะถ่ายทอดต่อๆ กันถึงความรู้สึก หากผู้รับรู้ไม่เคยสัมผัสกับสิ่งนั้นมาก่อน

วิวัฒนาการของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ตั้งแต่คนถ้ำ จนสู่ยุคสมัยต่างๆ ที่มีการจารึกเป็นรูปธรรมด้วยงานจิตรกรรม หรือประติมากรรม

แต่ก็ยังไม่ปรากฏเป็นหลักฐาน การจูบ แม้เวลาจะผ่านมาหลายพันปีแล้วก็ตาม

จูบ เพื่อชาติเผ่าพันธุ์

จนกระทั่งประมาณ 1500 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ตามค้นคว้าของ Vanghan Bryant อาจารย์หัวหน้าภาคมนุษยวิทยา แห่งมหาวิทยาลัย Texas ให้ข้อมูลว่า การจูบครั้งแรกเกิดขึ้นที่ประเทศอินเดีย ซึ่งถ่ายทอดมาจากงานประติมากรรมที่เรียกการแสดงออกของศิลปินในลักษณะนั้นว่า กามสูตร

ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเป็นการจงใจกระตุ้นให้ประชากรเร่งสืบพันธุ์ เพื่อทดแทนการล้มหายตายจากของประชากรเป็นจำนวนมหาศาลเนื่องในการเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ในประเทศนั้น

และการจูบในสมัยนั้นก็ยังเป็นการใช้จมูกสัมผัสแสดงความรักต่อกัน…

ต่อมา จูบได้พัฒนาการมาสู่การใช้ริมฝีปากบดแนบสนิทกันและใช้ลิ้นต่อลิ้นสัมผัสกันอย่างดูดดื่ม หรือที่เรียกต่อมาว่า French kiss และนิยมต่อเนื่องกันมาจนถึงปัจจุบัน

จูบ หลอกเด็ก

ความมหัศจรรย์ของจูบ ยังเป็นมนต์ขลังและถูกนำมาเป็นจุดเด่นในนิทานสำหรับเล่าให้เด็กฟัง

แม้คนฟังจะยังไม่เข้าใจว่า จูบรสชาติเป็นอย่างไร และทำไมต้องจูบ แถมมีอิทธิฤทธิ์มากมาย สามารถจูบแล้วทำให้กบกลายเป็นเจ้าชาย หรือสโนวไวต์ที่ถูกพิษจากผลแอปเปิ้ล ฟื้นมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งด้วยการประทับจูบจากเจ้าชาย

ส่วนเมื่อต่างเติบโตขึ้นแล้ว คงจะรู้รสกันเองว่า จูบนั่นเป็นอย่างไร

และเมื่อใดควรปฏิบัติ ซึ่งต้องไปใฝ่หาคำตอบกันเอาเอง

จูบ ก้องโลก

จูบนี้เป็นของจริงไม่มีการแสดง

เกิดขึ้นโดยปัจจุบันทันด่วน ขณะที่ผู้คนจำนวนมหาศาลกำลังฟังประกาศสำคัญอยู่ที่บริเวณไทม์ สแควร์

และเมื่อสุดเสียงที่แจ้งให้ทราบว่า สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้สิ้นสุดลงแล้ว กะลาสีเรือสหรัฐนายหนึ่งก็จับหญิงสาวที่อยู่ใกล้ตัวมาจูบอย่างดูดดื่ม

ภาพๆ นี้เมื่อถูกนำตีพิมพ์บนนิตยสารไลฟ์อีกไม่กี่สัปดาห์ถัดมา และดังระเบิดเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก

ในฐานะภาพสัญลักษณ์ของการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2

ไอเซนสเตดส์ ตากล้องผู้ถ่ายภาพนี้กล่าวเปิดใจถึงภาพที่โด่งดังภาพนี้ว่า “หากเธออยู่ในชุดสีเข้ม ผมคงไม่ถ่ายภาพนี้ และหากกะลาสีเรือสหรัฐอยู่ในชุดเครื่องแบบสีขาว ผมคงจะไม่ถ่ายเช่นกัน” ซึ่งพบว่า ไอเซนสเตดส์ใช้เวลาเพียง 10 วินาทีถ่ายภาพไว้ได้ 4 ช็อต

จนกระทั่งปี 1980 หรือ 35 ปีหลังจากนั้น หนังสือไลฟ์ได้ประกาศขอให้ทั้งคู่ชายหญิงในภาพดังกล่าวมาเปิดเผยตัว

เกรธา ฟรีดแมน หญิงสาวในชุดสีขาวของทันตแพทย์ ที่ถูกกะลาสีเรือจูบ ให้สัมภาษณ์ว่า

“ดิฉันไม่ทันเห็นเขาที่เดินมาจากด้านหลัง และรู้สึกตัวอีกทีก็ตกอยู่ในอ้อมแขนเสียแล้ว” และหลังจากนั้นทั้งเธอและจ่าจอร์จ เมนดอนซา กะลาสีเรือนักจูบก้องโลกก็แยกย้ายจากกันไปตามทางของแต่ละฝ่าย

แต่ภาพประวัติศาสตร์ “V-J Day in Times Square” ยังเป็นภาพชิ้นอมตะที่ยากที่จะลืมเลือน