เผยแพร่ |
---|
ทำไม “น้ำเสียง” อันมาจากคนอย่าง นายศุภชัย พานิชภักดิ์ หรือจาก นายบรรยง พงษ์พานิช จึงมากด้วย “น้ำหนัก”
“น้ำหนัก” ในทาง “เศรษฐกิจ”
ปัจจัย 1 มาจากภูมิหลังอันเป็น “รากฐาน” สำคัญในทางสังคมและธุรกิจ
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ เคยอยู่ “แบงก์ชาติ”
เมื่อเข้ามาเล่นการเมืองกับพรรคประชาธิปัตย์ก็เคยเป็น “รองนายกรัฐมนตรี” ในสายงาน “เศรษฐกิจ”
ทั้งเคยเป็นผู้อำนวยการ “องค์การระหว่างประเทศ”
ไม่ว่าจะเป็นผู้อำนวยการ WTO ไม่ว่าจะเป็นองค์การอังค์ถัดของสหประชาชาติ
ทั้ง ณ วันนี้ ยังเป็น”ที่ปรึกษา” ของ “รัฐบาล”
ยิ่ง นายบรรยง พงษ์พานิช ยิ่งเติบโตในภาคเอกชนและเข้าไปมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจกับคสช.
เมื่อพูดอะไรผู้คนก็จะ “ล้างหู” น้อมรับฟัง
กระนั้น ปัจจัย 1 ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดในสถานการณ์เศรษฐกิจ และการเมืองปัจจุบัน
นั่นก็คือ เป็นการตั้งข้อสังเกตในเชิง “ลบ”
ชาวบ้านรับฟังข่าว “การตลาด” ข่าว “พีอาร์” อันเป็นความถนัดอย่างยิ่งยวดของทีมงาน ฟิลิป ค็อตเลอร์
ไม่ว่าจะเป็น “สมคิด” ไม่ว่าจะเป็น “สุวิทย์”
การที่คนอย่าง นายศุภชัย พานิชภักดิ์ ถามถึงสาเหตุทำไมภาคเอกชนจึงไม่ยอมลงทุนทั้งๆที่มีเงินออมอยู่ในมือจำนวนมหาศาล จึงน่าสนใจ
การที่คนอย่าง นายบรรยง พงษ์พานิช ตั้งข้อสงสัยในเรื่องการลงทุน “จริง” จากต่างประเทศ จึงน่าฟังมากกว่าตัวเลขอันมาจากบีโอไอ
“ข่าวร้าย” จึงกลายเป็น “ข่าวดี”
ประเด็นสำคัญอย่างยิ่งยวดก็คือ ความไม่เชื่อมั่น ไม่ว่าจะใช้คำหะรูหะรามากเพียงใด
ทั้ง “ไทยแลนด์ 4.0” ทั้ง “ไทยเฟิร์สท์”
ทุกอย่างดำเนินไปเหมือนกับสัจจะที่ว่า เมื่อท่านพูดคนจะฟัง เมื่อท่านลงมือทำคนจะเชื่อ
คำว่า “เชื่อ” นี่แหละทรงความหมาย
เป็นความเชื่อจาก “ผลงาน” การกระทำมิใช่ “การพูด”