มนัส สัตยารักษ์ | 13 ตุลาฯ วัดใจตำรวจ

วันที่ 13 ตุลาคมของทุกปีเคยเป็นวันตำรวจ แต่เมื่อถึงปี พ.ศ.2559 ตรงกับวันพฤหัสบดี เป็นวันเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 รัฐบาลได้ประกาศให้วันที่ 13 ตุลาคมของทุกปีเป็นวันหยุดราชการ เพื่อให้ประชาชนน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ

ตุลาคมของปีนี้สำหรับผมก็คล้ายกับทุกปีที่ผ่านมา…เปิดคลิปดูภาพและฟังเพลงสรรเสริญพระบารมีและเพลงพระราชนิพนธ์จากวงดนตรีต่างๆ ทั่วโลก รู้สึกซาบซึ้งปลื้มปีติที่คนต่างชาติต่างภาษาทุกมุมโลกล้วนแซ่ซ้องสรรเสริญพระมหากษัตริย์ของเรา

มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ไม่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ส่วนน้อยที่ว่านี้คือคนไทยกลุ่มเล็กๆ นับหัวได้กลุ่มหนึ่ง

จุดเริ่มต้นความตื่นเต้นของปีนี้เริ่มขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 13.30 น.ของวันที่ 13 ตุลาคม “กลุ่มคณะราษฎร” นำโดยนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ “ไผ่ ดาวดิน” กับพวกราว 100 คน ตั้งเต็นท์ 2 จุดที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จุดแรกที่หน้าร้านแมคโดนัลด์ จุดที่สองตรงด้านหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา โดยทำทีว่าเพื่อเตรียมความพร้อมชุมนุมในวันรุ่งขึ้นที่ 14 ตุลาคม

นอกจากนี้ มีรถกระบะที่มีเครื่องเสียงจอดอยู่บนถนนโดยมีรั้วเหล็กกั้น ก่อนที่กลุ่มผู้ชุมนุมจะนำเวทีชั่วคราวมาติดตั้งกับรถกระบะดังกล่าว โดยนายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธ์ หรือ “แอมมี่ เดอะบอตทอมบลูส์” มาร่วมด้วยท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาเป็นระยะ

จากนั้น ไผ่ ดาวดิน ขึ้นกล่าวปราศรัยบนรถ มีการถ่ายทอดสดทางเฟซบุ๊ก Pai Jatupat มีเจ้าหน้าที่ตำรวจสังเกตการณ์อยู่โดยรอบ

ต่อมาเวลาประมาณ 14.00 น.เศษ พล.ต.ต.เมธี รักพันธ์ ผบก.น.6 และตำรวจ สน.สำราญราษฎร์ มาเจรจาขอให้กลุ่มผู้ชุมนุมนำรถเครื่องเสียงและรั้วเหล็กออกจากบริเวณถนนเนื่องจากกีดขวางการจราจร แต่การเจรจาไม่เป็นผลสำเร็จ ทางเจ้าที่ตำรวจจึงยืนเป็นแนวบริเวณแนวรั้วเหล็ก ทางกลุ่มผู้ชุมนุมรวมตัวตั้งแนวหันหน้าประจันแนวตำรวจพร้อมกับร้องเพลงชู 3 นิ้วประกอบการเต้น และยืนยันว่าจะปักหลักอยู่ที่นี่ไม่ไปไหน

เวลา 15.00 น. ตำรวจเจรจาขอคืนพื้นที่อีกครั้ง เนื่องจากจะมีภารกิจสำคัญ แต่ไผ่ ดาวดิน ไม่ยอมเจรจาด้วย ยังคงกล่าวปราศรัยและอ่านบทกวี ตำรวจจึงเสริมกำลังหน่วยควบคุมฝูงชน 5 กองร้อยเพื่อรอคำสั่งผู้บังคับบัญชาสั่งเคลียร์เส้นทาง

จากนั้นตำรวจตั้งแนวแล้วเดินเข้าประชิดผู้ชุมนุม ควบคุมตัวไผ่ ดาวดิน ลงมาจากเวทีปราศรัยพาไปยังรถคุมขังพร้อมด้วยพวกอีกรวม 21 คน หนึ่งในนั้นคือนายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือแอมมี่ เดอะบอตทอมบลูส์

เล่ามาอย่างละเอียดจากข่าวใน “มติชน” รายวัน เพื่อแสดงให้เห็นว่าทั้งฝ่ายผู้ชุมนุมและฝ่ายตำรวจต่างเตรียมตัวมาอย่างค่อนข้างพร้อมสำหรับภารกิจสำคัญในหน้าที่ของตน รวมทั้งผลที่คาดว่าจะได้หลังจากวันที่ 14 ตุลาคมด้วย

หลังจากปฏิบัติการ “จับ 21 แกนนำ” ของตำรวจเพียงไม่นาน ข่าวก็กระพือแพร่ไปตามสื่อต่างๆ รวมทั้งสื่อออนไลน์ด้วย

ความจริงแล้วแกนนำชุดนี้ที่ประชาชนรู้จักน่าจะมีเพียง 2 คนดังที่เอ่ยชื่อข้างต้น แต่เพื่อให้ข่าวเป็นที่น่าสนใจ สื่อจึงรวมผู้ที่ถูกควบคุมตัวทั้งหมด 21 คน

ในทีวีช่อง 22 ถ่ายภาพจากจอทวิตเตอร์ เป็นรายงานจากเพจของผู้ใช้นามว่า “The Bottom Blues” -ซึ่งเชื่อว่าเป็นของแอมมี่-ว่าผู้ถูกจับกุมถูกตำรวจรุมกระทืบด้วย ผู้ประกาศข่าวนี้ประณามการใส่ร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ

นอกจากนั้น มีข่าวนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ มาปรากฏตัวร่วมม็อบชู 3 นิ้ว

“การชุมนุมเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ” เขากล่าวเสมือนเป็นคาถา “ผมมาวันนี้เพื่อประกาศว่า ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ”

ผมอยู่บ้านเฝ้าดูข่าวทีวีและติดตามข่าวจากเฟซบุ๊กแทบจะไม่ไปไหนในวันที่ 13 ตุลาคม ก็อยากประกาศว่า “ผมก็ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของแกนนำคณะราษฎร” ที่ตั้งเต็นท์และเวทีปราศรัยบนถนนในวันที่ 13 ตุลาคม โดยอ้างว่าเตรียมความพร้อมสำหรับวันที่ 14 ตุลาคม

ทั้งๆ ที่รู้ว่าตำรวจมีภารกิจสำคัญในวันรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเรา ซึ่งได้รับการยกย่องสรรเสริญจากทั่วโลก

แต่ภารกิจสำคัญของผู้ชุมนุมวันนี้ก็เพื่อให้มีภาพและข่าวว่า “ตำรวจไทยทำร้ายผู้ชุมนุมประท้วง” เท่านั้น!

ผมไม่แคร์หากต่างชาติจะประณามตำรวจไทยทำร้ายผู้ประท้วง เพราะในช่วงวันเวลาที่เพิ่งผ่านมากระทรวงการต่างประเทศของเราคงมีภาพข่าวและข้อเท็จจริงที่ตำรวจสหรัฐเหยียบคอคนสีผิวจนตายคาตีน แล้วเกิดจลาจลไปเกือบทั่วทุกรัฐ รวมถึงข่าวทหารและตำรวจบางรัฐขัดขืนคำสั่งประธานาธิบดีทรัมป์ที่ให้ปราบปรามอย่างเฉียบขาดด้วย

หลังจากนั้นไม่นานมีข่าวภาพตำรวจฝรั่งเศสทำร้ายร่างกายแพทย์อย่างป่าเถื่อน โดยที่แพทย์ประท้วงเพราะหมดแรงจะรักษาผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ที่มากมายจนเกินกำลังจะรักษาได้

หลายต่อหลายครั้งที่มีภาพข่าวตำรวจประเทศเสรีประชาธิปไตยใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา มีการประกาศเคอร์ฟิวในเกือบ 40 เมืองทั่วสหรัฐ ผู้ประท้วงส่วนใหญ่ไม่สนใจคำสั่งเจ้าหน้าที่ นำไปสู่การปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่

ตำรวจปราบจลาจลปะทะผู้ประท้วงในนิวยอร์ก ชิคาโก ฟิลาเดลเฟีย และลอสแองเจลิส มีการใช้แก๊สน้ำตาและสเปรย์พริกไทยเพื่อสลายฝูงชน

เย็นวันที่ 13 ตุลาคม ดูคลิปบันทึกรายการ “ถามตรงๆ กับจอมขวัญ” หัวข้อเรื่อง “ม็อบใหญ่ 14 ตุลาฯ วัดใจรัฐบาล?” เป็น “วิวาทะ” กันระหว่างทัตเทพ เรืองประไพกิจเสรี เลขาธิการคณะประชาชนปลดแอก และจุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ สมาชิกคณะประชาชนปลดแอก ฝ่ายหนึ่ง กับเสรี สุวรรณภานนท์ สมาชิกวุฒิสภา อีกฝ่ายหนึ่ง

แต่ดูไปสักพักพบว่าเป็นรายการเกาะติดข่าวตำรวจรวบแกนนำ และจอมขวัญเป็นคนกลางถามตรงๆ กับทั้ง 2 ฝ่ายในเรื่องการประท้วงและการจับกุมแกนนำม็อบ

ฝ่ายประชาชนปลดแอกพูดเป็นคาถาเดียวกับนายธนาธรคือ “การชุมนุมเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ” ขณะที่นายเสรีพูดถึงความไม่เหมาะสมที่จาบจ้วงสถาบัน

กล่าวคือ ฝ่ายหนึ่งพูดถึงวันที่ 14 อีกฝ่ายหนึ่งพูดถึงวันที่ 13 คนละเรื่องเดียวกัน!

วันที่ 14 ตุลาคม ผมเกาะติดจอทีวีและจอมือถืออย่างเดิม ช่วงเช้าโทรทัศน์ช่อง 22 โชว์ผังแผนที่เส้นทางระหว่างอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยกับทำเนียบรัฐบาล แสดงจุดกำลังพลของฝ่ายประท้วง (ชู 3 นิ้วเป็นสัญลักษณ์) กับจุดของฝ่ายต่อต้านการประท้วง (เสื้อเหลืองเป็นสัญลักษณ์)

ดูในภาพกำลังพลในแผนที่ก็พอฟัดพอเหวี่ยงกัน แต่ดูรายชื่อแกนนำฝ่ายเสื้อเหลืองแล้วเดาจุดจบได้เลยว่า “แพ้มาแต่ในมุ้ง” เช่นเดียวกับนายเสรีในเวที “ถามตรงๆ” นั่นแหละ

ไม่มีเหตุผลอะไรมากมายหรอกครับ เพียงแค่หลายคนในเสื้อเหลืองเป็นคนที่ผมไม่ชอบและไม่นับถือเท่านั้นแหละ และผมก็เชื่อมั่นว่าคนที่คิดอย่างเดียวกับผมมีจำนวนมากกว่าทุกฝ่ายรวมกัน