เผยแพร่ |
---|
ท่าทีอันมาจากรัฐบาล ท่าทีอันมาจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่อข้อเสนอและการเคลื่อนไหวจากเดือนกรกฎาคมต่อเนื่องมายัง เดือนตุลาคมสัมผัสได้ถึงการไม่เปลี่ยนแปลง
เป็นความไม่เปลี่ยนแปลงบนพื้นฐานความเชื่อมั่นที่ว่าเมื่อประสบกับมาตรการสกัดขัดขวางในที่สุดม็อบก็จะฝ่อลง
จึงเห็นได้จากมาตรการส่งคนเข้าประกบตัวบุคคลที่คิดประเมิน ว่าเป็น”แกนนำ” เมื่อไม่สยบจำนนก็เพิ่มมาตรการเข้มด้วยการงัดเอา หลักกฎหมายมาจัดการ
นั่นก็คือ การจับกุม นายอานนท์ นำพา การจับกุม นายภาณุพงศ์ จาดนอก การจับกุม นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ รวมทั้งขยายวงออกไปถึง นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข
ขณะเดียวกัน ก็เปิดปฏิบัติการไอโอด้านข่าวสาร ปล่อยข่าวและสร้างนิยายความขัดแย้งแตกแยกภายในขบวนการเคลื่อนไหวและฟันธงว่าจำนวนคนเข้าร่วมจะต้องลดปริมาณลงเป็นลำดับ
คำถามก็คือ ปริมาณการเข้าร่วมการชุมนุมเคลื่อนไหวลดลง ฝ่อลงไปตามแต่ละมาตรการของรัฐหรือไม่
น่าแปลกเป็นอย่างยิ่งที่หากใครที่ติดตามการเคลื่อนไหวนับแต่เมื่อเดือนกรกฎาคม ณ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย กระทั่งในเดือนตุลาคม ณ บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล
ไม่ว่าจะเห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวชุมนุม ไม่ว่าจะเห็นตรงกัน ข้ามกับการเคลื่อนไหวชุมนุม
ก็ต้องยอมรับว่า “ปริมาณ” การเข้าร่วมมีแต่เพิ่มขึ้น
ไม่เพียงแต่จะทะยานจาก”เรือนร้อย”ในเบื้องต้นเป็น”เรือนพัน” หากแต่ยังทะยานจาก”เรือนพัน”เป็น”เรือนหมื่น” และหลายหมื่นกระทั่งทะลุไปถึง”เรือนแสน”
ขณะเดียวกัน การเคลื่อนขบวนจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย การเคลื่อนขบวนจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิไปยังบริเวณหน้าทำเนียบ รัฐบาล 2 ครั้งหลังก็เห็นชัด
ชัดในการยกระดับและประสิทธิภาพในการควบคุมความเรียบ ร้อยภายในขบวนอย่างมีวินัยอย่างเปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ
สภาพความเป็นจริงที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องยอมรับก็คือ นับแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นมาเป็นการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องและพัฒนาเติบใหญ่
โดยรวมศูนย์อยู่ที่ความไม่พอใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เสียงตะโกน”ออกไป ออกไป”ไม่เพียงดังในกรุงเทพมหานครเท่า นั้นหากกำลังกลายเป็นกระแสไปในขอบเขตทั่วประเทศ