ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 23 - 29 ตุลาคม 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | จดหมาย |
เผยแพร่ |
จดหมาย
0 กรณีฉีดน้ำ-จับผู้ชุมนุม
สืบเนื่องจากการใช้กำลังตำรวจของไทย
เพื่อสลายการชุมนุม รวมทั้งการใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงผสมสารระคายเคืองและสีย้อม
มิงยู ฮาห์ รองผู้อำนวยการสำนักงานภูมิภาคฝ่ายรณรงค์ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล
มีความเห็นต่อกรณีดังกล่าว ดังนี้
“การใช้กำลังเกินกว่าเหตุเพื่อสลายการชุมนุมโดยสงบเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม
และไม่สอดคล้องอย่างสิ้นเชิงกับหลักการตามกฎหมายที่ได้รับการยอมรับ ในหลักการความจำเป็น
และหลักการที่ได้สัดส่วนอย่างที่ทางการไทยอ้าง
การใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงที่ผสมสารระคายเคืองและสีย้อม
ไม่เพียงอาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บ
การใช้สีผสมในน้ำยังเป็นการกระทำที่ไม่เลือกเป้าหมาย
และอาจนำไปสู่การพุ่งเป้าเพื่อจับกุมโดยพลการต่อผู้ชุมนุมโดยสงบ ผู้สื่อข่าว และผู้อยู่อาศัยในพื้นที่
ในการควบคุมการชุมนุม
ทางการไทยควรเคารพ คุ้มครองและประกันการใช้สิทธิมนุษยชนของผู้จัดการชุมนุมและผู้เข้าร่วม
รวมทั้งยังต้องประกันความมั่นคงปลอดภัยของผู้สื่อข่าว ผู้สังเกตการณ์การชุมนุม และประชาชนทั่วไปที่ร่วมสังเกตการณ์การชุมนุมด้วย
เราขอเรียกร้องทางการไทยให้ปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศของตน
และอำนวยความสะดวกในการใช้สิทธิในเสรีภาพการชุมนุมโดยสงบ
ทางการไทยต้องอนุญาตให้ผู้ชุมนุมโดยสงบสามารถแสดงความคิดเห็นของตน
โดยต้องไม่ทำให้เกิดความตึงเครียดเพิ่มมากกว่านี้”
มิงยู ฮาห์ รองผู้อำนวยการภูมิภาคด้านการรณรงค์ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล
ยังเรียกร้องทางการไทยให้หาทางเจรจากับผู้ชุมนุมเพื่อให้สถานการณ์เป็นไปในทางที่ดีขึ้น
การจับกุมผู้ชุมนุมจำนวนมากเป็นวิธีการที่ไม่ชอบธรรม
เพราะการชุมนุมเป็นไปโดยสงบ
การดำเนินงานของรัฐเช่นนี้มีเจตนาอย่างชัดเจนเพื่อปราบปรามผู้ที่มีความเห็นต่าง
ทำให้เกิดความหวาดกลัวในกลุ่มประชาชนที่เห็นด้วยกับผู้ชุมนุม
ขอเรียกร้องให้ตำรวจไทยปล่อยตัวผู้ชุมนุมโดยสงบทั้งหมดทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไข
และผู้ชุมนุมทุกคนที่ถูกควบคุมตัวจะต้องสามารถติดต่อทนายความได้
การจับกุมครั้งนี้และการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างฉับพลันในยามวิกาล
เป็นการเพิ่มมาตรการปราบปรามเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบของไทย
แทนที่จะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและจับกุมผู้ชุมนุมจำนวนมาก
ทางการไทยควรเปลี่ยนแนวทาง
โดยต้องปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศ
ที่จะเคารพสิทธิของบุคคลทุกคนที่ออกมาแสดงความคิดเห็นโดยสงบ
ทั้งผ่านทางโซเชียลมีเดียและการชุมนุมบนท้องถนน
แอมเนสตี้
อินเตอร์เนชั่นแนล
ประเทศไทย
คงได้อ่านท่าทีและข้อเรียกร้อง
ทำนองเดียวกันนี้
หลายองค์กร
สะท้อนให้เห็นว่า มุมมอง
โดยเฉพาะด้านสิทธิมนุษยชน
ที่มีต่อฝ่ายรัฐบาลเป็นเช่นไร
แน่นอนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย
คำถาม–แล้วผู้มีอำนาจและฝ่ายรัฐบาล
ได้ฟังและได้ยินหรือไม่
หรือ ปิดหู ปิดตา ไม่เห็น ไม่ฟัง ตามกระแสที่กล่าวหาว่าองค์กรต่างประเทศเหล่านี้
เข้ามาก้าวก่ายกิจการภายใน
และถือหางม็อบ เพื่อที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตามโมเดลของตนเอง
–เป็นเช่นนั้น จริง-จริงหรือ