ของแสลงกลุ่มล้าหลัง : ชกคาดเชือก

วงค์ ตาวัน

กลายเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลสร้างผลสะเทือนอย่างมากมายในห้วงระยะนี้ เห็นได้จากชื่อ นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล ปรากฏเป็นข่าวพาดหัวหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์บ่อยๆ และตกเป็นที่กล่าวขวัญอย่างกว้างขวางในสื่อออนไลน์

เพียงแค่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

แถมเพิ่งเลือกตั้งเสร็จเท่านั้น ยังไม่ทันได้เข้ารับตำแหน่ง ยังไม่ทันได้เริ่มทำงานด้วยซ้ำ

“แต่เพียงแค่เห็นชื่อเนติวิทย์ บรรดากลุ่มคนที่มีแนวคิดอนุรักษนิยมทางการเมืองในสังคมไทย ก็พากันแตกตื่นหวาดผวา คิดไปไกลต่างๆ นานา”

แล้วก็ตามมาด้วย การโหมระดมโจมตีอย่างเอาเป็นเอาตาย

ข้อมูลมั่วๆ บิดเบือน งัดออกมารุมถล่มใส่นายเนติวิทย์อย่างไม่ต้องสนใจอะไรทั้งสิ้น

เพียงเพื่อจะเอาให้จมธรณีให้ได้

อาการของกลุ่มคนแนวคิดอนุรักษนิยมทางการเมืองในสังคมไทยในกรณีนายเนติวิทย์ เริ่มมีระดับใกล้เคียงกับช่วงที่ชุมนุมนกหวีดเพื่อปูทางไปสู่การหยุดประชาธิปไตย

“พูดจาอะไรก็ได้ เขียนอย่างไรก็ได้ ไม่ต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริง เพียงเพื่อจะสร้างกระแสให้ทั้งสังคมชิงชังเด็กหนุ่มคนนี้”

แล้วก็อาจจะได้ผล ปลุกให้กลุ่มคนที่คิดคล้ายๆ กัน คือ ไม่ค่อยมีเหตุมีผล ลุกฮือกันยกใหญ่

ถึงขั้นมีวัยรุ่น 2 คน ขี่รถจักรยานยนต์บุกเข้าไปถามหาในลักษณะคุกคามถึงคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

อาจเป็นการจ้างวานมา

“หรืออาจจะมาจากการโดนปลุกเร้าในทางที่ผิด”

เพราะมีสำนักข่าวขวาจัดบางแห่ง สร้างข้อมูลเท็จ และใช้ท่วงทำนองเฮทสปีชในการโจมตีอย่างไม่มีเหตุผล ซึ่งสามารถส่งผลให้คนบางกลุ่มที่เชื่อโดยไม่คิด เกิดอารมณ์โกรธแค้นและตัดสินเนติวิทย์ไปล่วงหน้าแล้ว

โดยมีกรณีตัวอย่าง 2 วัยรุ่นอันธพาล บุกทำร้ายอาจารย์วรเจตน์ ภาคีรัตน์ แกนนำคณะนิติราษฎร์ ถึงคณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เมื่อ 5 ปีก่อน

ในท่ามกลางบรรยากาศทางสังคม ที่คล้ายๆ กำลังเกิดกับนายเนติวิทย์ในวันนี้

หรือจะเอากรณีที่ปลุกปั่นแบบนี้ แต่ลงมืออย่างร้ายแรงโหดเหี้ยมกว่า ก็ต้องเหมือน 6 ตุลาคม 2519 !?!

นายเก่ง-การุณ โหสกุล ได้ออกโรงชี้แจง กรณีภาพถ่ายที่ตนเองก้มกราบคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย โดยยืนยันว่า นั่นเป็นภาพของตน ไม่ใช่นายเนติวิทย์ ดังที่มีการนำไปบิดเบือนเพื่อใส่ร้าย

เก่ง การุณ ระบุว่า เป็นภาพที่ถ่ายเมื่อปี 2557 ซึ่งเป็นการไปลาบวช แล้วก็นำมาโพสต์ในเฟซบุ๊กด้วยตัวเอง ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนป่วยทางจิต นำภาพนี้ไปบิดเบือนสร้างหลักฐานเท็จ เพื่อโจมตีเนติวิทย์และคุณหญิงสุดารัตน์

ขณะเดียวกัน คุณหญิงสุดารัตน์ ได้มอบหมายให้ทนายความเข้าแจ้งความเพื่อดำเนินคดีกับผู้บิดเบือนภาพนี้ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย

“โดยกลุ่มที่นำภาพนี้ไปบิดเบือน พยายามจะใส่ร้ายว่าคุณหญิงหน่อยคือผู้อยู่เบื้องหลังที่ทำให้นายเนติวิทย์ได้เป็นประธานสภานิสิตจุฬาฯ”

ทั้งที่ข้อเท็จจริงนั้น เนติวิทย์ ได้รับเลือกจากกรรมการสภานิสิต ซึ่งเป็นนิสิตที่เป็นตัวแทนของคณะต่างๆ โดยมี 27 เสียงจาก 36 เสียง ที่โหวตเลือกเนติวิทย์

คงเพราะนายเนติวิทย์ เป็นเหมือนของแสลงสำหรับกลุ่มคนแนวอนุรักษนิยมการเมือง เพราะแสดงความคิดเห็นชัดเจนมายาวนาน ต่อต้านระบบการศึกษาเก่าๆ ต่อต้านกฎเกณฑ์ของสถาบันการศึกษาที่ล้าหลัง ต่อต้านระบบการเกณฑ์ทหาร

“จึงเป็นบุคคลที่คนหัวเก่าล้าหลังในสังคมไทยชิงชังอย่างยิ่ง!”

เมื่อเข้ามาเป็นนิสิตรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ในปีแรก ก็สร้างปรากฏการณ์ที่เหล่านิสิตทั้งปัจจุบันและศิษย์เก่าที่ติดยึดในธรรมเนียมเดิมๆ ถึงกับช็อก

ครั้นเมื่อก้าวขึ้นเป็นประธานสภานิสิตล่าสุด จึงยิ่งช็อกกันเข้าไปใหญ่

เพราะอาจจะตีความหมายได้ว่า มีตัวแทนของนิสิตคณะต่างๆ อีกถึง 27 คน ที่เริ่มเอนเอียงมาเหมือนเนติวิทย์

“จึงอาจหวาดหวั่นว่า กระแสเนติวิทย์จะขยายตัวไปในสถาบันการศึกษาที่เต็มไปด้วยภาพพจน์ของการอนุรักษนิยม”

เลยนำมาสู่การโหมทำลายอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง

ไม่เว้นการใช้หลักฐานภาพถ่ายเป็นเท็จ เพียงเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการทำลายล้าง

เหมือนกับที่ทำกันสำเร็จมาแล้วช่วงชัตดาวน์จนทำให้ประชาธิปไตยล้มไปด้วย

กล่าวกันว่า นับจากการเคลื่อนไหวเพื่อล้มรัฐบาลเลือกตั้งและหยุดประชาธิปไตย จนได้คณะทหารเข้าปกครองประเทศเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา แม้ว่าจะนำมาซึ่งความสงบ แต่อีกด้าน แทบทุกคนในสังคมไทยล้วนได้รับผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจกันถ้วนหน้า

อันเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ไม่ยาก เพราะทุกประเทศที่หยุดประชาธิปไตย จะถูกทั่วโลกรังเกียจ การทำมาค้าขายสะดุด ส่งผลต่อปากท้องชาวบ้านอย่างเลี่ยงไม่ได้

ก่อนหน้านี้มีธุรกิจสื่อมวลชนที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วง มีสื่อใหญ่รายหนึ่งต้องตัดสินใจขายหุ้นให้กลุ่มธุรกิจน้ำเมา เพราะทนภาวะขาดทุนอย่างหนักไม่ไหว จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอื้ออึง เพราะเจ้าของสื่อรายนี้ มีบทบาทอย่างสูงในการสนับสนุนม็อบนกหวีด

“ทำนองว่าเพราะผลการร่วมหยุดประชาธิปไตย เลยทำให้ธุรกิจของตนเองต้องเซทรุดตามไปด้วย”

ไม่เท่านั้น ยังมีหลายบุคคลและหลายกลุ่ม ที่เริ่มแสดงความผิดหวังกับสถานการณ์หลังหยุดประชาธิปไตย เพราะไม่ได้งดงามสวยหรู ดังที่ถูกปลุกเร้าให้เข้าร่วมล้มรัฐบาลประชาธิปไตย

ด้วยสถานการณ์ในยุครัฐบาลที่ไม่เป็นประชาธิปไตยมีข้อจำกัดมากมาย

จนทำให้หลายคนเริ่มทบทวนว่า การเกลียดชังนักการเมือง จนตัดสินใจร่วมกับกระบวนการล้มประชาธิปไตยนั้น ถูกต้องแล้วหรือ

“เหมือนใช้วิธีที่ผิด มาแก้ไขสิ่งที่เห็นว่าผิด ลงเอยจะเกิดความถูกต้องได้อย่างไร!?”

มาจนถึงกรณีนายเนติวิทย์ ที่กลุ่มอนุรักษนิยมการเมือง ที่มีบทบาทสูงในการหยุดประชาธิปไตย ออกมาเคลื่อนไหวกันอย่างจริงจังอีกหน

กลับพบว่าท่วงทำนองไม่แปรเปลี่ยน โดยเฉพาะการสร้างกระแสทำลายล้างอย่างไม่มีสติไร้เหตุผล

การใช้หลักฐานเท็จข้อมูลบิดเบือน ก็ยังไม่มีการสรุปบทเรียน

“กรณีเนติวิทย์ จึงพิสูจน์ให้เห็นว่า กลุ่มล้าหลังในสังคมไทย มีแต่จะยิ่งล้าหลังสุดกู่”

แต่ในทางกลับกัน สำหรับนายเนติวิทย์ ด้วยความคิดที่ชัดเจนและการแสดงความเห็นอันหนักแน่นและแหลมคม

กลับยิ่งเปรียบเทียบให้เห็นว่า อีกฝ่ายนั้นไร้ปัญญาอย่างชัดเจน

กรณีนายเนติวิทย์ ยังเป็นเยาวชน เป็นปัญญาชนที่เยาว์วัย ซึ่งยังมีอนาคตอีกไกล

คงจะสร้างผลสะเทือนทางความคิดต่อคนวงกว้างในสังคมไทยอย่างได้ผลอีกมาก!