ต่างประเทศ : ทรัมป์ ปากกล้า ร่างเปลี้ย โควิดขวิดซ้ำ โค้งสุดท้าย เลือกตั้ง “มะกัน”

ข่าวการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา มุมหนึ่งดูเหมือนจะเป็นแค่เรื่องของ “ผู้นำประเทศ” คนหนึ่ง ที่ป่วยโควิด-19

หากแต่อีกมุมหนึ่ง ทรัมป์คือผู้นำของประเทศยักษ์ใหญ่มหาอำนาจของโลก กระดิกตัวนิดหน่อยก็ส่งผลสะเทือนไปทั่วโลกแล้ว

โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่อีก 1 เดือ ก็จะถึงการเลือกตั้งใหญ่ในสหรัฐอเมริกา รวมไปถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ที่ทรัมป์เป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ที่มีคู่แข่งสำคัญจากเดโมแครตคือ “โจ ไบเดน”

สำนักข่าวเอพีวิเคราะห์เกี่ยวกับวิกฤตความเชื่อมั่นในตัวของทรัมป์ หลังจากป่วยโควิด-19 ว่า การติดโควิด-19 ของทรัมป์ก่อนหน้าการเลือกตั้งใหญ่ 1 เดือน ทำให้ทรัมป์ต้องเจอกับวิกฤตความเชื่อมั่นอย่างหนัก ในช่วงเวลาที่ทรัมป์ต้องการความเชื่อมั่นจากประชาชนอย่างสูงสุด เพื่อกอบโกยคะแนนเสียงสนับสนุนให้ได้มากที่สุด

การติดเชื้อไวรัสโคโรนาของประธานาธิบดีทรัมป์รวมไปถึงผู้ช่วยและคนใกล้ชิดอีกจำนวนมาก ทำให้รัฐบาลสหรัฐตกอยู่ในภาวะอันตรายในระดับสูงสุด

ขณะที่ทำเนียบประธานาธิบดีสหรัฐ หรือทำเนียบขาวเอง พยายามที่จะเข้าไปสยบข่าวให้ดูไม่ร้ายแรงยิ่งขึ้นไป

แต่ดูเหมือนว่ายิ่งทำให้เกิดความสับสน และเกิดความขัดแย้งด้านข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของสุขภาพและความปลอดภัยของประธานาธิบดีสหรัฐ

 

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา สหรัฐยังต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากจากเหตุระบาดของโควิด-19 และสหรัฐยังเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 มากที่สุดในโลก

แต่ทรัมป์เองออกมายืนยันแนวทางของรัฐบาลสหรัฐเกี่ยวกับการระบาดของโควิด-19 มาตลอดว่าสหรัฐปลอดภัยจากโควิด-19 และยังเมินเฉยต่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการระบาดอย่างหนักของโควิด-19 ในสหรัฐ

ผลก็คือ ชาวอเมริกันมีความรู้สึกไม่มั่นใจอย่างมากทั้งต่อตัวบุคคล และสิ่งใดๆ ในเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพของผู้นำประเทศ ในช่วงเวลาที่น่ากลัวช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์สหรัฐ

โรเบิร์ต กิบส์ ผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งหัวหน้าโฆษกทำเนียบขาวสมัยบารัค โอบามา ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ บอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันมากกว่าที่จะเป็นเรื่องของโดนัลด์ ทรัมป์ และเป็นเรื่องเกี่ยวกับสถาบัน “ประธานาธิบดี”

สำหรับประธานาธิบดีทุกคน วิกฤตเรื่องความเชื่อมั่นถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันเป็นสิ่งที่จะช่วยโน้มน้าวชาวอเมริกันให้มีแนวคิดทางการเมืองตามที่ต้องการ และนำไปสู่ชัยชนะทางการเมือง

หากแต่คะแนนนิยมในตัวทรัมป์นั้นดูจะสั่นคลอนมาตลอด โดยเอพีระบุไว้ว่า ความเชื่อมั่นที่มีต่อตัวทรัมป์ ถูกบั่นทอนไปตั้งแต่แรกเริ่มที่ทรัมป์เข้ามารับตำแหน่ง ตั้งแต่วันที่เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่ง ก็มีการกล่าวอวดอ้างถึงจำนวนฝูงชนที่ร่วมในพิธีสาบานตนว่ามีจำนวนมาก และบอกให้ชาวอเมริกันไม่ต้องไปใส่ใจกับ “ภาพถ่าย” ที่ถือว่าเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า พิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ ที่เนชั่นแนล มอลล์ ในกรุงวอชิงตันนั้น มีผู้มาร่วมชมน้อยกว่าเมื่อครั้งที่บารัค โอบามา ทำพิธีสาบานตนรับตำแหน่ง

หรือจะเป็นเรื่องการปล่อยข่าวลือที่ไม่มีมูลความจริงเกี่ยวกับฝ่ายการเมืองที่อยู่ตรงกันข้าม อย่างเรื่องที่ทรัมป์กล่าวหาว่าโจ ไบเดน คู่แข่งจากเดโมแครต อาจจะเสพยาขณะขึ้นดีเบตด้วยกัน

ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันในเรื่องดังกล่าวเลย

 

ส่วนเรื่องวิกฤตโควิด-19 ทรัมป์เองก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการระบาดใหญ่ดังกล่าว แถมยังเคยบอกว่า โควิด-19 ก็แค่หวัดธรรมดาเท่านั้น ท่ามกลางสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น

โดยในการสำรวจศูนย์วิจัยกิจการสาธารณะของเอพี-นอร์ก เมื่อเดือนเมษายน ไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้าที่จะเกิดการระบาดรุนแรงของโควิด-19 ในสหรัฐอเมริกา พบว่ามีชาวอเมริกันเพียง 23 เปอร์เซ็นต์ ที่ระบุว่า มีความเชื่อมั่นอย่างสูงต่อข้อมูลเกี่ยวกับไวรัสที่ประธานาธิบดีสหรัฐให้แก่สาธารณะ

เอพีระบุด้วยว่า ยิ่งใกล้วันเลือกตั้งมากเท่าไหร่ ทรัมป์เองก็ยิ่งกระทำการอันเป็นการเย้ยหยันแนวทางปฏิบัติด้านสาธารณสุขเพื่อป้องกันการระบาดของโควิด-19 โดยไม่สนใจต่อคำแนะนำของนักวิทยาศาสตร์

ทรัมป์เดินทางไปทั่วประเทศเพื่อหาเสียง และจัดให้ประชาชนเข้าร่วมฟังการปราศรัยหาเสียง โดยไม่มีมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม หรือการขอให้ผู้เข้าร่วมสวมหน้ากากอนามัย

กระทั่งตัวทรัมป์เองติดโควิด-19 ในที่สุด โดยทรัมป์ได้แจ้งผ่านทางทวิตเตอร์ส่วนตัวเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ยืนยันว่าเขาและเมลาเนีย ทรัมป์ ภริยา ตรวจพบเชื้อโควิด-19 และในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ทรัมป์ก็ถูกนำตัวขึ้นเฮลิคอปเตอร์ประธานาธิบดีไปยังโรงพยาบาลทหาร เพื่อเข้ารับการรักษาตัว ซึ่งทำเนียบขาวแจ้งว่าเป็นการป้องกันเบื้องต้นเท่านั้น

และอาการของทรัมป์ “ไม่รุนแรง”

 

ขณะที่ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า ทรัมป์ติดโควิด-19 มาได้อย่างไร อาการของทรัมป์ว่าหนักหรือไม่ก็ดูจะสับสน เพราะทำเนียบขาวเองก็พยายามทำหน้าที่ในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งของประธานาธิบดี ว่าทรัมป์ยังคงสามารถทำงานได้อยู่ เดินได้ด้วยตัวเอง และไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจแต่อย่างใด

ส่วนแพทย์กลับปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติม หลังจากนั้น มาร์ก มีโดวส์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวก็ออกมาให้ข้อมูลที่สับสนมากขึ้น โดยบอกว่า อาการของทรัมป์น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ด้านคนใกล้ชิดกับการรักษาทรัมป์ ยืนยันว่าทรัมป์ต้องใช้ออกซิเจนช่วยหายใจในช่วงเช้าวันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม

เรียกได้ว่าเป็นการให้ข้อมูลที่น่าสับสนอย่างมากเกี่ยวกับอาการป่วยของผู้นำสหรัฐ เพราะเหมือนอยากจะสร้างภาพว่าอาการไม่ได้หนัก แต่บางเสียงก็ว่าอาการหนัก

 

จนวันที่ 4 ตุลาคม ทรัมป์ก็ทำเซอร์ไพรส์ด้วยการสวมหน้ากากนั่งรถออกจากโรงพยาบาลเพื่อโชว์ตัวให้กลุ่มผู้สนับสนุนได้เห็น และได้ออกจากโรงพยาบาลในวันถัดมา แม้ว่าจะยังไม่ได้หายจากโควิด-19

เรื่องนี้ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับความพร้อมของทีมงานของทรัมป์ ที่ไม่ได้มีการเตรียมความพร้อมในการรับมือเรื่องที่เกิดขึ้น จนทำให้เกิดความสับสนขึ้นเกี่ยวกับข้อมูลสุขภาพของผู้นำสหรัฐ ว่า เรื่องไหนจริง เรื่องไหนไม่จริง

บางเสียงก็ว่า หรืออาจจะเป็นความพยายามในการสร้างภาพว่าทรัมป์มีสุขภาพแข็งแรง และฟิตพอที่จะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐสมัยที่ 2 ก็เป็นได้

หากแต่จะสามารถกู้ความเชื่อมั่นในตัวทรัมป์กลับมาได้จริงหรือไม่ รอดูวันเลือกตั้งสหรัฐในเดือนพฤศจิกายนนี้