ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ : ในโลกยุคเก่าก่อน “ดนตรี” คือความรู้ และอำนาจ

ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ

คําว่า “music” ในภาษาอังกฤษ ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยตรงกับคำว่า “ดนตรี” มีรากศัพท์มาจากคำกรีกโบราณว่า “mousike”

ส่วนคำว่า “mousike” ในภาษากรีกโบราณ นอกเหนือจากจะหมายถึง “ดนตรี” แล้ว ยังแปลความได้ว่า “ความรู้” (art) และ “ทักษะ” (techne) แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นความรู้และทักษะของใครก็ได้ แต่ต้องเป็นของคณะเทพธิดามิวส์ (Muses) อีกด้วย

ขอให้สังเกตนะครับ คำว่า “art” ในยุคดั้งเดิมมีความหมายว่า “ความรู้” เพิ่งจะมามีความหมายว่า “ศิลปะ” ในชั้นหลัง

ดังนั้น วลีอมตะของนายแพทย์กรีกผู้เรืองนามอย่าง “ฮิปโปคราเตส” (Hippocrates) ที่ว่า “ars longa, vita brevis” จึงหมายถึง “ความรู้ยืนยาว ชีวิตสั้น” อย่างไรก็ดี ความรู้ในความหมายของพวกกรีก มีศิลปะแขนงต่างๆ รวมอยู่กับศาสตร์อื่นๆ ในนั้นด้วย ดังนั้น การที่คนไทยมักจะแปลคำนี้ว่า “ศิลปะยืนยาว ชีวิตสั้น” จึงเป็นเพียงการจำกัดความที่ตื้นเขินกว่าความเป็นจริง แต่ก็ไม่ใช่ผิดไปเสียทั้งหมด

ส่วนคำว่า “techne” หรือ “ทักษะ” ในโลกของชาวกรีกโบราณก็หมายถึง งานจำพวกงานฝีมือ หรืองานช่าง ไม่ได้หมายถึงงานวิจิตรศิลป์ (fine art)

 

ย้อนกลับมาที่คณะเทพธิดามิวส์ ตามเทพปกรณัมกรีกเล่าว่า มหาเทพซุส (Zeus) ได้สมสู่กับนางเนโมสิเน (Mnemosyne) เทพีแห่ง “ความทรงจำ” หรือ “ความรำลึก” แล้วบังเกิดเทพธิดาที่ดลใจศิลปวิทยาทั้งหลาย

ว่ากันว่า เบื้องต้นมีเทพธิดาเหล่านี้มีเพียงสามองค์ คือ 1) “วาจากวี” 2) เสียงดนตรี และ 3) การร่ายรำ ต่อมาเทพธิดาทั้งสามได้ขยายจำนวนเป็นเก้าองค์ (3 x 3 = 9, ตามการเล่นเลขศักดิ์สิทธิ์ที่คนโบราณทุกชาติทุกภาษานิยมกัน)

คณะเทพธิดาทั้งเก้าองค์นี้เรียกรวมกันว่า “มิวส์”

การรวมกลุ่มของเทพธิดาอาจจะดูประหลาดพิกล ที่คณะของไท้เธอเหล่านี้ประกอบไปด้วยเทพีแห่งศาสตร์ และศิลปะหลายแขนงปนๆ กันอยู่ แต่นี่ก็เป็นเพราะสมัยโบราณไม่ได้แยก “ศิลปะ” ออกจาก “วิทยาศาสตร์” เหมือนอย่างที่แยกกันในทุกวันนี้ ในสมัยกรีกวิทยาศาสตร์ยังเป็นศิลปะ และศิลปะยังเป็นวิทยาศาสตร์ ดังนั้น “ประวัติศาสตร์” กับ “โหราศาสตร์” ยังผนวกกับ “กวีนิพนธ์” “ดนตรี” และ “ระบำ” ได้สะดวกไม่ขัดกัน

น่าสนใจว่าในบรรดาเทพธิดามิวส์ทั้งหลาย มีอยู่หลายองค์ทีเดียวที่กิจการที่เธอครองอยู่นั้น เกี่ยวข้องกับดนตรีการ บางองค์อย่าง “ยูเทอร์พี” (Euterpe) ก็ถึงกับครองการละเล่น “ดนตรี” เองเลยทีเดียว

ดังนั้น ดนตรีจึงเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับชาวกรีก

 

จึงไม่น่าประหลาดใจอย่างใดเลยที่นักปราชญ์คนสำคัญอย่างเพลโต (Plato, 424-348 ปีก่อนคริสตกาล) และอริสโตเติล (Aristotle. 384-322 ปีก่อนคริสตกาล) เคยเสนอเกี่ยวกับการเล่นดนตรีในวัฒนธรรมกรีกไว้ว่า ควรเล่นเฉพาะบางโหมด (mode) เช่น โหมดที่ให้ความฮึกเหิมใช้เล่นสำหรับสรรเสริญวีรบุรุษ แต่ไม่ควรเล่นโหมดที่ให้ความรู้สึกเศร้าโศกเสียใจ เป็นต้น

อย่างไรก็ดี ยามเมื่อปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่อย่าง “เพลโต” เอ่ยถึงคำว่า “mousike” ความหมายของท่านยังไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะแค่หมายถึงแต่ “ดนตรี” เพราะท่านยังครอบคลุมความหมายถึงงานศิลปะ บทกวี หรืองานสร้างสรรค์แขนงอื่นๆ อีกด้วย

ต่างจากคำว่า “mousike” ที่เอื้อนเอ่ยออกมาจากปราชญ์ผู้ศิษย์ของเพลโตเองอย่าง “อริสโตเติล” ที่คำนี้มีความเฉพาะเจาะจงถึงดนตรีการเป็นการเฉพาะแล้ว

ลักษณะอย่างนี้ชวนให้นึกถึงคำว่า “ดนตรี” ในภาษาอาหรับ ที่มีคำเรียกหา “ดนตรี” อยู่อย่างน้อยสองคำ หนึ่งคือ “musik” และสองคือ “ghina” สำหรับคำหลังมีความหมายเป็นเอกพจน์ เมื่อใช้เป็นพหูพจน์จะผันเป็นคำว่า “aghani”

คำว่า “ghina” และ “aghani” นอกจากจะหมายถึง “ดนตรี” แล้วยังหมายถึง “บทสวด” ได้ด้วย ลักษณะอย่างนี้ต้องตรงกับธรรมชาติของชาวอาหรับที่นิยมเพลงสวด บทกลอนบทกวีต่างๆ ส่วนคำว่า “musik” หยิบยืมมาจากภาษากรีกแน่ จึงเป็นคำใหม่ของพวกอาหรับ และไม่มีความหมายครอบคลุมไปถึงบทกวีบทสวดอื่นๆ

เป็นไปได้ว่าลักษณะเช่นนี้อาจเกิดขึ้นเมื่อปราชญ์อาหรับได้นำความรู้เกี่ยวกับดนตรีของชาวกรีกมาปรับประยุกต์จนสร้างทฤษฎีดนตรีของพวกอาหรับเองในช่วงระหว่าง ค.ศ.900-1000

 

ข้อมูลเหล่านี้ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงแนวคิดทางปรัชญาของพวกกรีกถือว่า “ดนตรี” เป็น “ความรู้” ชนิดหนึ่งที่ส่งผลสะเทือนต่ออารมณ์ความรู้สึกของคน และรัฐ (แน่นอนว่าความคิดนี้ส่งไปยังพวกอาหรับ และมุสลิมที่รับเอาคำว่า “mousike” ของกรีกไปใช้ด้วย)

และในทางกลับกัน ดนตรียังคงเป็นเครื่องมือในการเซ่นสรวง ปรนนิบัติ และเข้าถึงหมู่เทพเจ้าอยู่เสมอ หน้าที่อย่างนี้คงจะเป็นหน้าที่แต่ดั้งเดิมของดนตรี เช่นเดียวกับอีกหลากหลายสังคมวัฒนธรรมในโลก

การได้รับการดลใจเพื่อรังสรรค์งานศิลปวิทยาต่างๆ จากคณะเทพธิดาเทพมิวส์เองก็คงไม่ต่างกันนัก โดยเฉพาะเมื่อหลายองค์ในบรรดาไท้เธอต่างครองไว้ซึ่งอำนาจแห่งดนตรีการ การระบำ ละครประเภทต่างๆ

สรรพความรู้ที่เหล่าเทพธิดามิวส์ดลบันดาลให้แก่มนุษย์เอง แต่แรกเริ่มก็ออกมาในรูปลักษณะของดนตรี เพราะท่วงทำนองในการโอดเอื้อนคือเครื่องมือวิเศษในการช่วยจำ ไม่ต่างไปจากการเทศนาของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ที่ท่องทอดออกเป็นท่วงทำนอง

และอันที่จริงแล้วศิลปวิทยาจากเทพธิดามิวส์บางองค์ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการดนตรีโดยตรงอย่าง เทพธิดาผู้ครองประวัติศาสตร์ และโหราศาสตร์ อย่างคลิโอ (Clio) และยูราเนีย (Urania) ตามลำดับ ก็อาจถูกถ่ายทอดผ่านดนตรีการด้วย ไม่ต่างจากที่พระเวทของพวกพราหมณ์ถูกขับออกมาเป็นทำนอง หรือพระไตรปิฎกของศาสนาพุทธที่เอื้อนทำนองออกมาผ่านปากของพระสงฆ์

ลักษณะคล้ายๆ กันนี้ก็เกิดขึ้นในอุษาคเนย์โดยเฉพาะที่สยามประเทศไทยนี่แหละครับ

 

เจ้าของคอลัมน์หน้าข้างๆ ผมอย่าง คุณสุจิตต์ วงษ์เทศ เคยอธิบายเอาไว้ว่า ในภาษาไทยมีคำที่เกี่ยวข้องกับ “music” ตามทัศนะของฝรั่งอยู่อย่างน้อยอีกสองคำ คือคำว่า “เพลง” และ “ดนตรี”

อย่าเพิ่งเถียงผมนะครับ ผมทราบดีว่าปัจจุบันเราแปลคำว่า “เพลง” เป็นภาษาอังกฤษว่า “song” แต่โบราณท่านไม่ได้คิดเหมือนเรา คุณสุจิตต์อธิบายว่า “เพลง” เป็นภาษาเขมร แปลว่า “ทางร้อง” ส่วนคำว่า “ดนตรี” มาจากคำของพวกพราหมณ์ชมพูทวีป แปลว่า “ทางดนตรี”

เมื่อตัดเส้นกั้นอาณาเขตสมัยใหม่ อคติเชิงชาติพันธุ์ หรือความบาดหมางนานาประการออกไป กรุงศรีอยุธยาคือผู้สืบทอดอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ของพวกขอม (ซึ่งก็คือ “เขมร” นั่นแหละ) สมัยเมืองพระนครโดยไม่ต้องสงสัย การที่เราเรียก “music” ด้วยคำว่า “เพลง” ซึ่งเป็นภาษาเขมรจึงไม่ใช่เรื่องแปลก

และเมื่อ “เพลง” มีความหมายครอบคลุมไปถึง “ทางร้อง” จึงยิ่งเทียบได้กับคำว่า “ghina” ของชาวอาหรับ ในกรณีนี้คำว่า “ดนตรี” ที่เรายืมมาจากพราหมณ์อินเดีย จึงยิ่งไม่ต่างไปจาก “musik” ที่อาหรับหยิบยืมมาจากพวกกรีกอีกทอด

ในโลกยุคเก่าก่อนนั้น “ดนตรี” จึงไม่ใช่แค่การละเล่น กิจกรรมยามว่าง เครื่องผ่อนคลายอารมณ์ ตามอย่างที่มักจะนิยามกันในโลกปัจจุบัน แต่เป็นเรื่องของศาสตร์ที่เกี่ยวพันกับความรู้ อำนาจ รัฐ ฯลฯ อย่างมีนัยยะสำคัญนั่นเอง