ทางส่องสว่าง “โครงการรับจำนำข้าว” | ลึกแต่ไม่ลับ

จรัญ พงษ์จีน
Former Thai prime minister Yingluck Shinawatra waves to supporters as she arrives at the Supreme Court in Bangkok on August 1, 2017. - Shinawatra arrived at court to give her closing defence statement in a protracted trial that could see her jailed for 10 years for negligence over a rice subsidy policy. (Photo by LILLIAN SUWANRUMPHA / AFP)

“ปิดจ๊อบ” สะเด็ดน้ำไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว “คดีโรดโชว์” ที่ “คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ” หรือ “ป.ป.ช.” เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง 6 จำเลย ประกอบด้วย 1. “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี 2. “นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล” 3. “นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ” 4. “บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) 5. “บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน)” และ 6. “นายระวิ โหลทอง”

ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีการจัดจ้าง “โครงการโรดโชว์ สร้างอนาคตประเทศไทย Thailand 2020” วงเงิน 240 ล้านบาท โดยกล่าวหาว่า โครงการดังกล่าว “ไม่ใช่กรณีเร่งด่วน ใช้ดุลพินิจบิดผันสั่งอนุมัติงบประมาณกลาง มีเจตนาร่วมกันจัดจ้างโดยวิธีพิเศษ อันเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ และยังร่วมกันดำเนินการเพื่อให้คณะรัฐมนตรีมีมติยกเลิกการลงนามในสัญญาก่อนได้รับเงินประจำงวด ทั้งที่ไม่เข้าเงื่อนไข เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี”

ซึ่งทาง ป.ป.ช.ได้มีมติชี้มูลความผิดเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2563 โดยเห็นว่ากระบวนการอนุมัติโครงการโรดโชว์ เป็นไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการใช้งบประมาณ 240 ล้านบาท เกิดความสูญเปล่า เป็นเหตุให้ราชการเสียหาย มีมูลความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 151 และ 157 รวมทั้งความผิดตามกฎหมาย “ฮั้วประมูล”

คดีนี้ ทางอัยการมีความเห็น “สั่งไม่ฟ้อง” เนื่องจากเห็นว่าพยานหลักฐานต่างๆ ยังไม่ครบถ้วน ทาง ป.ป.ช.จึงยกร่างคำฟ้องเอง และเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2567 “ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” ได้อ่านคำพิพากษา และมีมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 เสียง “ยกฟ้อง” ซึ่งสำนวนยกฟ้องโดยสรุป บรรยายว่า

“น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายนิวัฒน์ธำรง และนายสุรนันทน์ จากการไต่สวนพยานหลักฐาน เป็นการดำเนินนโยบายตามที่แถลงต่อรัฐสภา การใช้งบประมาณเป็นไปตามนโยบายของรัฐและตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง เกิดขึ้นจากการพิจารณาร่วมกันของหน่วยงานต่างๆ ไม่ใช่การตัดสินใจของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายนิวัฒน์ธำรง และนายสุรนันทน์ ไม่ปรากฏว่ามีส่วนร่วมหรือแนะนำโดยมิชอบ ในกระบวนการเสนออนุมัติงบประมาณกลางในการดำเนินการและไม่ปรากฏพฤติกรรมร่วมกันแทรกแซง หรือมีคำสั่งเลือกบริษัทมติชน หรือสยามสปอร์ตเป็นผู้จัดจ้างโครงการดังกล่าวไว้ล่วงหน้า”

สรุป “ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” มีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยทุกราย เนื่องจากไม่พบว่ามีเจตนาในการเอื้อประโยชน์ในการจัดซื้อจัดจ้าง

(Photo by LILLIAN SUWANRUMPHA / AFP)

ต่อมา เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2567 คณะกรรมการ ป.ป.ช.ประชุมพิจารณาอุทธรณ์คดี ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ยกฟ้องและเพิกถอนหมายจับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยมีมติด้วยเสียงข้างมาก 5 ต่อ 1 เสียง “ไม่อุทธรณ์คำพิพากษา”

สาเหตุสำคัญที่ ป.ป.ช.มีมติด้วยเสียงข้างมากไม่อุทธรณ์คดีนี้ เนื่องจากในคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ มีข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจากการไต่สวน คือรัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีได้จ่ายเงินค่าดำเนินโครงการ และมีการตั้งคณะกรรมการสอบความรับผิดทางละเมิด ผลสรุป “ไม่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐ กระทำการละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐ” ซึ่งศาลเห็นว่าไม่เกิดความเสียหายใดๆ

และผลสรุปของการตรวจสอบความรับผิดทางละเมิดโครงการ ทาง “พล.อ.ประยุทธ์” นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เป็นผู้ลงนามเห็นชอบผลการตรวจสอบเอง ตามความเห็นของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ที่สรุปว่า

“ไม่ปรากฏความเสียหายจากการใช้จ่ายเงินงบประมาณของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในขั้นตอนต่างๆ ของการดำเนินการโครงการโรดโชว์ สร้างอนาคตฯ จึงไม่มีเจ้าหน้าที่กระทำการละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐ และไม่มีผู้ต้องรับผิดชอบ และให้ส่งสำนวนให้กระทรวงการคลังตรวจสอบ”

จากหลักฐานดังกล่าว จึงมีน้ำหนักเพียงพอให้ศาลวินิจฉัยว่า ไม่มีความเสียหายเกิดขึ้นในการดำเนินโครงการ เมื่อ “พล.อ.ประยุทธ์” ลงนามเห็นชอบผลตรวจสอบ และ “พล.อ.วิลาศ อรุณศรี” เลขาธิการนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ลงนามอนุมัติเบิกจ่ายเงินให้ผู้รับจ้าง จึงทำให้มีน้ำหนักและเชื่อได้ว่า จำเลยในคดีนี้ ไม่มีการละเว้นปฏิบัติหน้าที่ในการกำกับดูแลตามที่ควรจะเป็นอันแสดงว่ามีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหาย

คดีที่เป็นมหากาพย์ต่อสู้กันมายาวนาน ผ่านกระบวนการต่างๆ มาทีละขั้นตอน จาก ป.ป.ช.และส่ง “อัยการ” มีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง “ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” พิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งหมด มติเป็นเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 และล่าสุด “ป.ป.ช.” ห้องเครื่องสำคัญสุด มีมติด้วยเสียงข้างมาก 5 ต่อ 1 เสียง ไม่อุทธรณ์คำพิพากษา

จึงเป็นบทสรุปว่า “คดีโรดโชว์ 240 ล้านบาท” สะเด็ดน้ำ “จบลงอย่างบริบูรณ์”

ส่งผลให้ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 เป็นผู้หญิงคนแรก ที่ขึ้นทำเนียบนามหมายเลข 1 ตึกไทยคู่ฟ้า ที่ขณะนี้ยังต้องสัญจรไพรอยู่ต่างแดน เท่ากับว่า ไม่มีคดีค้างท่อใน ป.ป.ช. ล้างกระดาน ไม่มีคดีความใดๆ ติดติ่งอยู่แม้แต่คดีเดียว

“นายกฯ ปู” มีชนักอยู่คดีเดียวคือ คดีที่ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก กรณีที่ไม่ระงับยั้บยั้งความเสียหายโครงการรับจำนำข้าว ต้องโทษจำคุก 5 ปีเท่านั้น ขณะที่ในคดีโดนกล่าวหาว่า โยกย้าย “นายถวิล เปลี่ยนศรี” อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. โดยมิชอบ ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องแล้วเช่นเดียวกัน

แสงเทียนเริ่มส่องสว่าง หลังตกอยู่ในค่ำคืนอันมืดมิดมายาวนาน “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เตรียมเดินทางกลับเมืองไทย ฤกษ์พานาที “ปลายเดือนกรกฎาคม”

เงื่อนไขอาจจะต่างจากพี่ชาย “ทักษิณ ชินวัตร” เล็กน้อย เส้นทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ มีอุปสรรคขวากหนามบ้างเล็กน้อย คือรับโทษตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ กี่เดือนกี่วันก็แล้วแต่สถานการณ์

แต่สบายอกสบายใจได้ เพราะคนที่กำกับดูแลกรมราชทัณฑ์ ชื่อ “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” รมว.ยุติธรรม ที่มีความสนิมทชิดเชื้อกับ “ยิ่งลักษณ์” เมื่อครั้งดำรงตำแหนงนายกรัฐมนตรี