มุกดา สุวรรณชาติ : ทำไมเยาวชนต้องเคลื่อนไหวใหญ่? หลัง 19-20 กันยายน จะมีผลอย่างไร?

มุกดา สุวรรณชาติ

นักการเมืองระดับชาติและท้องถิ่นถือเป็นหน้าที่ของท่านที่จะต้องไปสังเกตการณ์และหาข้อมูลเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ ไม่ต้องกลัวใครจะกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลัง ดูอยู่ห่างๆ ก็ได้ รัฐบาลก็รู้ว่าการตัดสินใจของเยาวชนถือเป็นเด็ดขาด…ให้ดูตัวอย่างการที่น้องรุ้งไปบอกท่านอาจารย์ปรีดีที่เป็นอนุสาวรีย์…

อาจารย์คะ เขาไม่ให้ใช้สถานที่ แต่อาจารย์ไม่ต้องห่วงนะคะ หนูใช้แน่นอน

 

เหตุ…รัฐประหารปี พ.ศ.2549 และ 2557
ทำลายความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ

เมื่อคนโง่เขลาที่มีอำนาจกลุ่มหนึ่งถูกกิเลสเข้าครอบงำ ทั้งความโลภความโกรธความหลง พวกเขาได้ตัดสินใจสร้างสถานการณ์และทำการรัฐประหาร ยึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งวันที่ 19 กันยายน

จากวันนั้นเป็นต้นมาบ้านเมืองก็วุ่นวาย ประชาชนต้องอยู่อย่างยากลำบาก

ความอยากจะมีทั้งอำนาจ ยศถาบรรดาศักดิ์ ทรัพย์สิน ทำให้คนเราทำทุกทาง แต่ไม่ว่าจะใช้อำนาจและคดโกงอย่างไร ประชาชนก็ไม่รัก และไม่เลือก

การใช้อำนาจรัฐ อำนาจฝ่ายตุลาการ กำลังอาวุธ มาบีบบังคับประชาชน และคู่แข่งทางการเมืองจึงมีมาต่อเนื่อง ไม่สำเร็จก็ต้องทำการรัฐประหารเป็นครั้งที่ 2 ในปี 2557

คนที่มีความรู้จำนวนมากในบ้านเมืองนี้ ต่างก็เอาตัวรอดยอมสยบ นบนอบ รับใช้กลุ่มที่มาจากอำนาจเผด็จการ พยายามเขียนกฎหมาย เขียนรัฐธรรมนูญ อ้างหลักการต่างๆ เพื่อสนับสนุนผู้เผด็จการเหล่านั้นและตัวเองก็ได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ยศถาบรรดาศักดิ์พ่วงไปด้วย

กระบวนการยุติธรรมก็เลยกลายเป็นกระบวนการที่ไม่ยุติธรรม

นักวิชาการ ครูบาอาจารย์บางกลุ่ม ได้ดิบได้ดีรับตำแหน่งกรรมการสภามหาวิทยาลัย เป็นผู้บริหาร บางคนเป็น สนช. เป็น ส.ว. บางคนได้เป็นบอร์ดของรัฐวิสาหกิจ ทำให้คนเหล่านี้ยังรับใช้ต่อเนื่อง

แต่ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถฟอกถ่านสีดำให้เป็นสีขาวได้ ต้องคอยหลบหน้านักศึกษา กลัวเด็กตั้งคำถามถึงหลักยุติธรรม

 

การสืบทอดอำนาจ 2562
ทำลายความหวังคนรุ่นใหม่

การยุบพรรคอนาคตใหม่ การซื้อ ส.ส. การใช้องค์กรอิสระเป็นเครื่องมือทางการเมือง สร้างความไม่พอใจในหมู่เยาวชนและคนชั้นกลางทั่วไป ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มิได้ทำให้สัจธรรมลบเลือนหายไป แต่มันกลับเร่งเวลาให้ข้อเท็จจริงต่างๆ ปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้น สามารถมองเห็นกลโกงได้ทะลุปรุโปร่งลึกซึ้งมากขึ้น

คำโกหกที่เคยโมเมได้ บัดนี้สามารถนำมาปรากฏบนจอที่มีทั้งภาพและเสียง ว่าใครเคยพูดไว้อย่างไร เคยทำอะไรอย่างไรที่ไหนเมื่อวันเวลาใด โกหกมากี่ครั้งแล้ว ทำผิดกฎหมายมาหลายครั้งทำไมไม่ถูกลงโทษ ความอยุติธรรมและการคดโกง การคอร์รัปชั่น ทำอย่างไม่กลัวเกรง แม้ถูกนำมาเปิดโปงครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ยังจะทำ มันเป็นเรื่องตลกที่ว่าคนในสังคมไม่ได้แสดงปฏิกิริยาเท่าใด

จนกระทั่งปีนี้มีเด็กและเยาวชนจำนวนมากได้เรียกร้องให้ยอมรับความจริงกันเสียที อยู่อย่างนี้ต่อไปบ้านเมืองพินาศแน่ และอนาคตของพวกเขาดับแน่

หลังการรัฐประหาร 2557 ลางของหายนะก็ปรากฏ-การเรียกร้องของเด็กเยาวชนวันนี้ ออกจะช้าไปด้วยซ้ำ เมื่อโรคระบาด covid-19 ได้ส่งผลสะเทือนในขอบเขตทั่วโลก ตั้งแต่ต้นปี 2563 สังคมของเราซึ่งมีปัญหามาตลอด 14 ปีและมีความอ่อนแออย่างมากย่อมไม่อาจตั้งรับปัญหาที่จะติดตามมาได้ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม

เด็กๆ เยาวชนและคนที่มีอายุไม่เกิน 40 ปีจากวันนี้จะเป็นผู้รับกรรมในแง่เศรษฐกิจ แล้วพวกเขาจะต้องทำงานใช้หนี้ไม่น้อยกว่า 30 ถึง 50 ปี และถ้าหากปรับโครงสร้างการเมือง เศรษฐกิจ สังคมไม่ดี

ตลอดชีวิตที่เหลือจะเป็นช่วงที่ยากลำบากที่สุด

 

2563 ประเทศที่มีโครงสร้างอ่อนแอ
ย่อมพินาศเสียหายหนัก
จะฟื้นตัวอย่างไร?

การอยู่รอดและฟื้นตัวของประเทศ ต้องประกอบไปด้วยปัจจัยอะไรบ้าง?

1. ระบบการปกครอง จะต้องเป็นระบอบประชาธิปไตยที่ให้สิทธิ์และโอกาสกับประชาชนในการที่จะร่วมสร้างสรรค์ใช้ความสามารถต่อสู้กับปัญหาและเสริมสร้างศักยภาพของประเทศให้ได้

2. ระบบการศึกษา ต้องสร้างเด็กให้มีความรู้ มีความคิดรองรับกับปัญหาใหม่ๆ และการต่อสู้แข่งขันตามมาตรฐานชีวิตใหม่

3. ระบบเศรษฐกิจ ต้องให้โอกาสประชาชนในการทำมาหากิน ไม่ควรมีการผูกขาด และต้องมีมาตรการป้องกันการดูดกลืนธุรกิจของทุนใหญ่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

4. ระบบยุติธรรม ต้องปรับปรุงให้มีมาตรฐาน มากพอที่จะทำให้ประเทศเราอยู่ด้วยระบบนิติรัฐจริงๆ ใช้กฎหมายฉบับเดียวกันใต้รัฐธรรมนูญเดียวกัน มีการบังคับใช้เหมือนกัน

5. ระบบอุปถัมภ์ ต้องกำจัดทิ้ง ไม่ให้ครอบงำระบบราชการ ระบบธุรกิจ เพราะนี่คือต้นตอของเชื้อร้ายที่กัดกินทุกวงการทำให้เกิดการคอร์รัปชั่นและความอยุติธรรม

ในรอบ 100 ปีมานี้ทุกระบบไม่ได้ถูกพัฒนาขึ้นให้อยู่ในมาตรฐานที่จะทำให้ประเทศปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย จึงไม่ทำให้เกิดความเสมอภาค ความมีเสรีภาพ และไม่สามารถสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจแก่คนทุกชนชั้น ผู้มีอำนาจ ผู้มีทุนมีเงิน รวมหัวกันกอบโกยผลประโยชน์และกล้าสร้างพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมโดยไม่ยำเกรงต่อศีลธรรมและกฎหมาย

วันนี้เยาวชนจึงต้องเคลื่อนไหวให้เริ่มเปลี่ยนโครงสร้าง โดยการแก้รัฐธรรมนูญ และเปลี่ยนคน

 

ผล…การชุมนุมที่ธรรมศาสตร์-ราชดำเนิน
บนถนนการเมืองที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง

ผู้มีอำนาจกล่าวว่า ประชาชนจะต้องทำตามกฎหมายที่พวกเขาร่างไว้ แต่พวกเขาเองอาจจะไม่ทำตามก็ได้ แถมไม่พอใจก็ฉีกกฎหมายทิ้งได้ และวันนี้ได้ออกกฎหมายมาควบคุมประชาชน ไม่ให้พูด หรือแสดงความคิดเห็นที่ต่างกับรัฐ แถมมาไล่จับนักเรียน นักศึกษา ประชาชนที่มาเรียกร้อง

ในเมื่อการต่อต้านอยุติธรรมเป็นหน้าที่ จึงมีผู้กล้าตอนนี้เป็นเยาวชนคนหนุ่ม-สาวที่ใจถึงจำนวนมาก ซึ่งจะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์การเมือง ส่วนใครคือผู้ร้าย ผู้บงการ ผู้สนับสนุนก็จะถูกเปิดเผยเช่นกัน

การชุมนุมคราวนี้ แม้มีข้อโต้แย้งในการใช้สถานที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งโดยหลักแล้วควรจะใช้ได้เพราะปลอดภัยที่สุด อย่าว่าแต่คำสั่งอธิการบดี ต่อให้มีคำสั่งของ รมต.การอุดมศึกษาฯ มาก็ไร้ประโยชน์

ถนนแห่งการต่อสู้ทางการเมืองของไทยเป็นเส้นทางประจำ

ถ้าย้อนดูประวัติการต่อสู้ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ล้วนเป็นการต่อสู้ทางการเมือง เพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตย นับตั้งแต่อาจารย์ปรีดีได้ใช้ตึกโดมเป็นกองบัญชาการลับของเสรีไทยในการต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 การต่อสู้ของนักเรียน นักศึกษา ประชาชนในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 และพฤษภาทมิฬ 2535 ธรรมศาสตร์เป็นจุดสำคัญในการต่อสู้ที่เชื่อมต่อกับสนามหลวง ถนนราชดำเนิน อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ยาวไปจนถึงทำเนียบรัฐบาล ในประวัติศาสตร์การเมืองสมัยใหม่ บริเวณนี้ทั้งหมดคือถนนแห่งการต่อสู้ของประชาธิปไตย เสรีภาพ และอำนาจรัฐ

การห้ามนักเรียน นักศึกษา ประชาชนใช้บริเวณเหล่านี้เป็นที่ชุมนุมทางการเมือง ในช่วงเวลานี้ก็เท่ากับว่าได้สนับสนุนรัฐบาลที่สืบทอดอำนาจจากการรัฐประหาร ไม่สนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย แต่สนับสนุนการซื้อเรือดำน้ำ

ในภาวะวิกฤตอย่างนี้อาจจะต้องเลือกว่าจะสนับสนุนฝ่ายใด

เมื่อเด็กนักเรียน นักศึกษา และประชาชน ออกหน้าเอาอิสรภาพและชีวิตมาเสี่ยง ปัญญาชน เสรีชน นักวิชาการ ที่มีความรู้ความคิด มีฐานะตำแหน่ง แม้ไม่สามารถสนับสนุนอย่างออกหน้า ก็ควรเป็นกองหลังที่จะผลักดันการต่อสู้ให้ประสบความสำเร็จ

เพื่อที่บ้านเมืองจะได้ผ่านเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย มีความสามารถที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ผลการเคลื่อนไหวในวันที่ 19-20 กันยายน

จํานวนคนร่วมมากน้อยส่งผลถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญในสภา เพราะ…

1. บ้านเมืองเราวันนี้มาถึงจุดที่จะต้องมีการปฏิรูปครั้งใหญ่ ถ้าไม่ปฏิรูปก็จะเกิดการปฏิวัติ ความขัดแย้งได้ยืดเยื้อมาเป็นเวลานานถึงขณะนี้ก็เกิน 10 ปี แล้วการเรียกร้องการปฏิรูปเป็นการเรียกร้องแต่ปาก ในความเป็นจริงยังไม่มีด้านใดที่ปฏิรูปขึ้นมาเลย ที่จะต้องเริ่มก่อนคือ การแก้รัฐธรรมนูญ

แต่ปฏิกิริยาของ ส.ว.ที่แสดงต่อการแก้รัฐธรรมนูญมีความไม่แน่นอนสูง ถ้าพวกเขายังดึงดันไม่ยอมร่วมมือ ลดอำนาจในการโหวตเลือกนายกฯ เป้าหมายของการชุมนุมคงจะเปลี่ยนไปเป็นการไล่ ส.ว.ออกไป แม้ไม่มีทางออกในรัฐธรรมนูญ ถ้าการเมืองเปลี่ยน ส.ว.ต้องเตรียมรับผลในภายหลังด้วย

2. ในทางการเมืองนั้นเด็กและเยาวชนคงเคลื่อนไหวเต็มกำลัง เพื่อเป้าหมายการปฏิรูป สภาพของแนวร่วมในการขับไล่ผู้มีอำนาจ และแก้ไขรัฐธรรมนูญขณะนี้ได้ขยายกว้างออกไปมากแล้วอยู่ในขั้นต่างอุดมการณ์แต่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน

และขณะนี้อาจจะไม่มีความจำเป็นต้องสามัคคีรักใคร่กันมากมาย แต่ก็จะมาร่วมงานนี้กันได้ชั่วคราว

แม้มีการไม่ยอมรับของกลุ่มคนที่ต่างอุดมการณ์ ต่างพรรค แต่ในเมื่อสภาพสังคม เศรษฐกิจบังคับ พวกเขาจำเป็นต้องร่วมมือ อาจจะเคลื่อนแต่ละขบวน แต่ตีเป้าหมายเดียวกัน และบางครั้งจะกระจายออกทำสงครามตามพื้นที่ที่ตัวเองเคลื่อนไหวอยู่

ทุกกลุ่มน่าจะละเว้นความเห็นที่แตกต่างในช่วงนี้ และแต่ละกลุ่มก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องมารวมเป็นองค์กรเดียวกัน แต่เมื่อจบแล้วแต่ละกลุ่มคงมีความเห็นในเรื่องรัฐธรรมนูญไม่เหมือนกัน ก็เป็นเรื่องธรรมดาของระบอบประชาธิปไตย

3. สำหรับการตั้งรับการเคลื่อนไหวของรัฐบาล ไม่สามารถทำอะไรมาก เพราะการชุมนุมอาจจะมีคนหลายหมื่นหรือเป็นแสน ถ้าจะมีการเคลื่อนขบวนออกมาสำแดงพลังและเจตนารมณ์ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยหรือมาที่แถวๆ ทำเนียบรัฐบาลรัฐบาลคงดูเฉยๆ ในเมื่อไม่ใช่วันทำการ ใครยื่นข้อเรียกร้องอะไรมา ก็ให้คนรับไว้

แต่ถ้าทำเรื่องโง่ๆ…ก็เหมือนปลากินเบ็ด

มั่นใจว่างานนี้จะมีแต่ตำรวจที่รับภาระหนัก ไม่มีทหาร

4. การอยู่รอดของรัฐบาล เหลือแค่การยื้อเวลาเท่านั้น และมีแต่จะต้องแก้รัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน ถ้ายอมให้มีการตั้ง ส.ส.ร. แรงกดดันก็จะลดลงทันที แต่รัฐบาลนี้จะอยู่ต่อได้นานเท่าไร ขึ้นอยู่กับการบริหารและข้อผิดพลาดขนาดใหญ่ที่แทรกเข้ามากลางทาง

เรื่องสำคัญคือปัญหาการเงินหรือการสะดุดล้มของเศรษฐกิจ

 

รัฐประหาร 2563 ยืนยันว่าไม่มีคนกล้าทำ

ฝ่ายต่อต้านบอกว่า ถ้ามีการรัฐประหารให้ทุกคนไปถอนเงินจากธนาคาร

แค่ข้อนี้ข้อเดียวฝ่ายที่ทำรัฐประหารก็ไปไม่เป็นแล้ว เพราะจะต้องมีคนถอนเงินแน่นอนจำนวนไม่น้อย

เมื่อคนกลุ่มนี้ถอนเงินออกไป คนที่เหลือใครจะกล้าใจเย็นรออยู่ เพราะกลัวไม่มีเงินเหลือ

ดังนั้น ผู้ที่มีเงินในบัญชีธนาคาร 90% ก็จะพากันรุมถอน

เมื่อทุกคนกังวลก็จะพยายามเก็บเงินสดไว้ที่ตัวเองให้มากที่สุด ที่จะเสียภาษีหรือเสียค่าใช้จ่ายอื่นๆ ไม่ยอมจ่าย ถึงตอนนั้นก็ควบคุมอะไรกันไม่ได้แล้ว

อีกเรื่องคือความรุนแรงที่จะมีผู้เสียชีวิตโดยเฉพาะจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ถ้าเกิดขึ้นจากการต่อต้านการรัฐประหาร จะต้องมีผู้รับผิดชอบซึ่งอยู่ในระดับสูง และไม่ว่าใครทำหรือไม่ทำก็จะกลายเป็นปัญหาป้ายสีกันวุ่นไปหมด คดีที่เกิดขึ้นจะมีการฟ้องร้องไปทั่วโลก ดังนั้น ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้บงการ จะไปอยู่ที่ไหนก็จะมีข้อหาติดตัวไปตลอดชีวิต งานนี้ที่น่ากลัวคือจะมีคนโยนบาปใส่กันจนไม่มีที่ให้ยืน

กลุ่มคนที่จะซวยอีกกลุ่มหนึ่งก็คือ พวกที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงโดยไม่ลืมตามองดูโลก เมื่อถึงเวลาปรับตัวไม่ทันจะกระเด็นออกจากตำแหน่ง พวกที่ไปเที่ยวไล่ฟ้องคนอื่นอาจจะต้องถูกฟ้องกลับ ถ้าไม่ถึงออกจากราชการก็ทำให้กลายเป็นผู้มีมลทินมัวหมอง

การเคลื่อนไหวนี้เป็นเพียงก้าวแรกเพื่อการเปลี่ยนแปลงระบบปกครองให้ก้าวหน้าขึ้น ถึงอย่างไรก็ต้องเกิด ถ้าไม่เกิดภายใน 3 เดือน 6 เดือนนี้ก็ต้องเกิดในปีหน้า และกระแสนี้จะพัดแรงมาก ต่อเนื่องไปหลายปี ข้อหาลูกสมุนทรราช จะถูกนำมาใช้เหมือนหลัง 14 ตุลาคม 2516