ปอร์เช่ “พานาเมร่า” ใหม่ สปอร์ต 4 ประตู-เกินห้ามใจ

สันติ จิรพรพนิต

ในวงการรถซูเปอร์คาร์ทั้งเมืองไทยและทั่วโลก น้อยรุ่นนักที่จะเป็นรถเกินกว่า 2 ประตู เนื่องจากผลิตขึ้นมาด้วยวัตถุประสงค์เพื่อความแรง ความสนุกในการขับขี่

การออกแบบต่างๆ จึงเน้นไปที่ตัวผู้ขับขี่เป็นหลัก ทำให้ส่วนใหญ่นอกจากเป็นรถ 2 ประตูแล้ว ยังมีแค่ 2 ที่นั่ง

จนในภายหลังจึงออกแบบเป็น 4 ที่นั่ง เพื่อเพิ่มประโยชน์ใช้สอยมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่เป็นลักษณะ 2+2 คือไม่ได้เน้นผู้โดยสารด้านหลังมากนัก

ยิ่งหากเป็นซูเปอร์คาร์แบบ 4 ประตู บอกเลยว่ามีน้อยยิ่งกว่าน้อย

หนึ่งในแบรนด์ซูเปอร์คาร์ที่กระโดดเข้ามาจับตลาดรถสปอร์ต 4 ประตู คือ “ปอร์เช่” (Porsche) ซูเปอร์คาร์สัญชาติเยอรมนี ที่ได้ชื่อว่ามียอดขายซูเปอร์คาร์สูงสุดค่ายหนึ่งของโลก

ส่วนหนึ่งไม่พ้นเสน่ห์การออกแบบภายนอก-ใน ที่เป็นเอกลักษณ์ รวมถึงการราคาที่ไม่แพงเว่อร์วังเหมือนค่ายอื่นๆ ทำให้ลูกค้าจับต้องได้ง่ายกว่า

อย่างในเมืองไทย ปอร์เช่ ถือว่าเป็นซูเปอร์คาร์ขายดีที่สุดเช่นกัน

และที่ยิ่งตอกย้ำว่าปอร์เช่ เป็นขวัญใจมหาชนคือการออกแบบที่เน้นประโชน์ใช้สอยภายใน รวมถึงการกระโดดเข้าใส่ตลาดซูเปอร์สปอร์ต 4 ประตู

โดยออกรุ่น “พานาเมร่า” (Panamera) เอาใจครอบครัวที่รักความสปอร์ต

ทั้งยังได้ขยายฐานลูกค้ากว้างขึ้น เพราะแทนที่จะได้เฉพาะวัยรุ่น หรือใช้เป็นรถคันที่ 2 ไว้ท่องเที่ยวหรือโฉบเฉี่ยวเท่านั้น

แต่ “ปอร์เช่” ต้องการให้ “พานาเมร่า” เป็นซูเปอร์คาร์ที่สามารถใช้ได้ในชีวิตประจำวัน รวมถึงไปไหนไปกันได้ทั้งครอบครัว แต่ยังคงมีความโฉบเฉี่ยวแบบรถสปอร์ตเอาไว้

“พานาเมร่า” รุ่นแรกออกมาทำตลาดเมื่อปี ค.ศ.2009 สร้างกระแสและยอดขายอย่างอึงมี่ ทั้งมีเครื่องยนต์ให้เลือกหลากลายทั้งเบนซิน ดีเซล และไฮบริด

พลอยทำให้ “บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด” ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการในเมืองไทย กวาดยอดขายไปสนุกมือ

ล่าสุด “พานาเมร่า” เจเนอเรชั่นที่ 2 อวดโฉมออกมาแล้ว

porsche-boss-confirms-panamera-range-will-get-two-performance-hybrids_13 (1)

การออกแบบภายนอกมองผาดๆ ใกล้เคียงกับเจนฯ ที่แล้ว แต่ดูสปอร์ตมากขึ้น ได้รับแรงบันดาลใจมาจากรุ่นพี่สุดคลาสสิคในตำนาน “ปอร์เช่ 911” จุดเด่นไม่พ้นแนวหลังคาที่ลาดต่ำจรดด้านท้ายรถ

ฝากระโปรงหน้าทรง arrow-shaped กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับแนวซุ้มล้อทั้ง 2 ฝั่ง มีมุมมองคล้ายกับพร้อมเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอยู่ตลอด เส้นสายตัวถังส่วนบนที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น พลิ้วไหวต่อเนื่องจนจรดกันชนท้ายรถ

ไฟหน้าทรงคล้ายๆ เดิม แต่กรอบใหญ่ขึ้นใช้ไฟแบบ LED พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED 4 ลำแสง ออกแนวอวกาศพอสมควร

ช่องดักอากาศใหม่รูปทรง A-shaped ทำให้แนวกันชนหน้าด้านข้างมีมิติที่ขยายเพิ่มขึ้น รวมทั้งเปลี่ยนแปลงสไตล์การออกแบบของตัวถังด้านหน้าให้ล้ำสมัยยิ่งขึ้น

ฝากระโปรงหน้า ฝากระโปรงท้าย หลังคา และซุ้มล้อ ตัวถังด้านข้างผลิตขึ้นจากวัสดุอะลูมิเนียม กระจกหน้าต่างทั้ง 2 ข้างล้วนได้รับการดีไซน์ขึ้นใหม่ทั้งหมด ให้สัมผัสของพื้นผิวที่ต่อเนื่อง ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับแนวตัวถังท้ายรถ

ช่องระบายอากาศบริเวณด้านหลังของล้อคู่หน้าโดดเด่นมากขึ้น ครีบดักอากาศบริเวณซุ้มล้อที่ให้ภาพลักษณ์ของความคมเข้ม ดุดัน

ไฟท้าย LED แบบ 3 มิติ พร้อมไฟเบรก 4 ลำแสง แนวไฟท้ายติดตั้งต่อเนื่องไปกับแผง LED เรียวยาวตลอดตัวถัง พร้อมสปอยเลอร์หลัง

porsche-boss-confirms-panamera-range-will-get-two-performance-hybrids_4

ภายในเน้นสีขาว-ดำคลาสสิค ทำให้ดูกว้างขึ้น ซึ่งจริงๆ แล้วโดยมิติตัวถังรุ่นนี้ขยายกว่ารุ่นเดิมในทุกมิติอยู่ที่ (กว้าง x ยาว x สูง) 1,937 x 5,049 x 1,423 ม.ม. รวมถึงการออกแบบทำให้กว้างกว่ารุ่นเดิมพอสมควร

ตกแต่งภายในห้องโดยสารใหม่ทั้งหมดแผงหน้าปัด ที่ประกอบด้วยเกจ์วัดรอบเครื่องยนต์แบบเข็มคลาสสิคติดตั้งบริเวณกึ่งกลาง เอกลักษณ์ของปอร์เช่ตั้งแต่รุ่น 356 A ปี 1955 ประกบด้วยหน้าจอแสดงข้อมูลทั้ง 2 ฝั่ง

ปรับเปลี่ยนปุ่มควบคุมการทำงานในรูปแบบเดิมเป็นระบบสัมผัส วางอยู่ข้างๆ คันเกียร์ ทั้งซ้าย-ขวา ดูแปลกตาไปอีกแบบ

สั่งการผ่านหน้าจอแสดงผลความละเอียดสูงขนาด 12.3 นิ้ว พร้อมระบบติดต่อสื่อสารล้ำยุค Porsche Communication Management (PCM)

ระบบพวงมาลัยอิเล็กโทรเมคานิกซ์ (electromechanic steering system) รุ่นล่าสุด ทำงานผสานกับระบบช่วงล่างแบบถุงลมปรับระดับอัตโนมัติ (adaptive air suspension with new three-chamber technology) พร้อมระบบควบคุมช่วงล่างด้วยอิเล็กทรอนิกส์ ปรับฟังก์ชั่นของแต่ละระบบให้เหมาะสมกับสภาพการขับขี่รูปแบบต่างๆ


เครื่องยนต์มีให้เลือก 3 บล็อก ทั้งเบนซิน V6 ไบเทอร์โบ ขนาดความจุ 2.9 ลิตร ในรุ่น “พานาเมร่า 4 เอส” (Panamera 4S) ให้กำลังสูงสุด 440 แรงม้า มากกว่ารุ่นเดิม 20 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร เพิ่มขึ้นถึง 30 นิวตันเมตร

อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในระยะเวลา 4.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 289 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราการการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยตามมาตรฐาน NEDC 12.1-12.3 กิโลเมตรต่อลิตร ประหยัดขึ้น 11% เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม

ถัดมาเป็นเครื่องยนต์ V8 ไบเทอร์โบ ขนาดความจุ 4.0 ลิตร ในรุ่น “พานาเมร่า เทอร์โบ” (Panamera Turbo) กำลังสูงสุด 550 แรงม้า มากกว่ารุ่นเดิม 30 แรงม้า แรงบิดมหาศาล 770 นิวตันเมตร เพิ่มขึ้น 70 นิวตันเมตร เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นเดิม

อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในระยะเวลา 3.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 306 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิง 10.6-10.7 กิโลเมตรต่อลิตร ประหยัดกว่ารุ่นเดิม

สุดท้ายเป็นเครื่องยนต์ดีเซล V8 ไบเทอร์โบชาร์จ ในรุ่น “พานาเมร่า 4 เอส ดีเซล” (Panamera 4S Diesel) กำลังสุดสุด 422 แรงม้า แรงบิด 850 นิวตันเมตร

อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในระยะเวลา 4.5 วินาที โดยปอร์เช่ เคลมว่านี่คือรถยนต์ที่ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลจากสายการผลิตปกติ ที่มีอัตราเร่งเร็วที่สุดในโลก

ส่วนความเร็วสูงสุด 285 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิง 14.7-14.9 กิโลเมตรต่อลิตร

 

ทุกรุ่นติดตั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (permanent all-wheel drive system) และระบบเกียร์อัจฉริยะคลัตช์คู่ 8 จังหวะ PDK รุ่นล่าสุด

ส่วนระบบความปลอดภัยจัดเต็มชุดใหญ่ และความไฮเทค ระบบช่วยเหลือต่างๆ แน่นคัน เรียกว่านึกไม่ว่าขาดอะไรก็แล้วกัน

ระบบไฮเทคเด่นๆ เช่น ระบบช่วยเหลือด้านทัศนวิสัยเวลากลางคืน (night vision assistant) ตรวจสอบสภาพแวดล้อมในระหว่างการขับขี่ด้วยกล้องตรวจจับความร้อนประสิทธิภาพสูง แสดงตำแหน่งของบุคคลและสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ให้ผู้ขับขี่เห็นผ่านหน้าจอแสดงผลพร้อมสัญลักษณ์และสัญญาณเตือน

ระบบ “Porsche InnoDrive” ที่ช่วยในการมองเห็นเส้นทางข้างหน้าไกลยิ่งขึ้น ทำงานร่วมกับระบบปรับความเร็วอัตโนมัติ (adaptive cruise control) อาศัยข้อมูลจากระบบนำทางผ่านดาวเทียม คำนวณหาความเร็วในการเดินทางของรถยนต์ที่มีความเหมาะสมที่สุด ควบคุมอัตราเร่ง การเบรก และตำแหน่งเกียร์ จากการประเมินสถานการณ์เส้นทางล่วงหน้าไกลถึง 3 กิโลเมตร

สาวกปอร์เช่ในเมืองไทยที่สนใจต้องร้องเพลงรอไปพลางๆ ก่อน เพราะรุ่นนี้จะขึ้นไลน์การผลิตที่เมืองนอกช่วงปลายปี กว่าจะมาเมืองไทยราวๆ เดือนมีนาคม-เมษายนปีหน้า

“เอเอเอส ออโต้ฯ” ยืนยันแล้วว่ามาแน่ทั้งรุ่น “4 เอส” และ “เทอร์โบ” และคาดว่ากว่าจะถึงต้นปีหน้าคงมีตัวไฮบริด ตามมาด้วย ส่วนราคาในเมืองไทยยังไม่เปิดอย่างเป็นทางการ

โปรดอดใจรอ