การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ พลันเหมือนแวบวับฟ้ามาเสกสรรค์

จันทร์รูปเคียวเกี่ยวฟ้าเวลาดึก

ยิ่งรู้สึกแจ่มชัดถนัดถนี่

จึงเมื่อเพื่อนเตือนให้นอนก่อนคืนนี้

ก็ถึงทีเก็บกลืนกล้ำซ่อนน้ำหนอง…

 

“ตื่น! พี่ตื่น เช้าแล้วนั่นแก้วน้ำ”

แว่วยินคำเรียกใกล้ในแสงส่อง

เปิดเปลือกตารับรู้ขึ้นดูมอง

เห็นตาจ้องข้างฟูกให้ลุกเร็ว

 

“กี่โมงแล้วหรือหวาน” เหมือนนานมาก

แต่นึกอยากขดนอนก่อนอีกเดี๋ยว

หากเหมือนหอมน้ำมันกระเทียมเจียว

“รีบลุกเร็วมากินข้าวเช้ากัน!”

 

ล้างหน้าอย่างหมดจดให้สดชื่น

ออกห้องน้ำเหมือนตื่นขึ้นในฝัน

ในห้องแคบมีแสงสว่างพลัน

ทุกสิ่งอันจัดวางอย่างตรึงตา

 

มีจานข้าวขาวนวลชวนแตะต้อง

หนังสือพิมพ์ปูรองซ้อนสองหน้า

ไข่ทอดเหลืองกรอบฟูคู่น้ำปลา

ช้อนวางท่ารอมือหยิบถือใช้

 

แทบตะลึงอึ้งอั้นวันไม่คิด

เหมือนหลงทิศมาถึงหนึ่งวันใหม่

พลิกฝ่ามือพลิกชีวิตพลิกจิตใจ

จนไสวแดดส่องทั่วห้องพัก

 

“มีเพียงข้าวกับไข่ในวันนี้

กินมากมากให้มีเพิ่มน้ำหนัก

รู้ไหมเธอผอมกว่าเห็นมานัก

ส่วนของมักรอหน่อยไว้ค่อยทำ”

 

บอกพลางตักข้าวเติมเพิ่มไข่โปะ

เพื่อนจัดโต๊ะดูดีมีสูงต่ำ

การจัดวางอย่างว่าทำประจำ

ตักข้าวคำไข่คำกลืนลงคอ

 

คอยังแสบแอบกลืนขื่นคละหวาน

นานแสนนานสองเรากินข้าวห่อ

น้ำพริกหอมแกงบอนผักกาดจอ

เคยหัวร่อกับอาหารแบ่งหวานคาว

 

เธอมักมาอยู่ใกล้ในท้องทุ่ง

เป็นตัวยุ่งต้อยตามชอบถามข่าว

มาบัดนี้ที่ผ่านหลายเรื่องราว

ยิ่งนานยาวยิ่งตอกย้ำทรงจำมา

 

เช้านี้เมื่อยินเสียงเรียกกินข้าว

สุกสกาวความจริงใจบนใบหน้า

เหมือนวันคืนเก่าหลังครั้งก่อนลา

จนที่คาค้างใจไม่มีแล้ว…

 

“อิ่มแล้วหรือ ดูสิ ยังมีเหลือ”

บอกพลางเจือน้ำตาลลงผ่านแก้ว

“งั้นกินกาแฟไปให้เสร็จแล้ว

ฉันต้องแผ็วที่ทำงานไม่นานช้า”

 

“เธอทำงานที่ไหนในตอนนี้”

“อ้าว ดูซีถามได้ ก็ไปท่า

เป็นกระเป๋ารถไง” จ้องในตา

ทำราวว่าฉันคงหลงเลอะเลือน

 

แต่ก็จริงดั่งว่าให้หน้าผ่าว

ผลักจานข้าวตาหลบอยู่กลบเกลื่อน

อาจเพราะใจแอบคิดว่าตนมาเยือน

อีกใจเหมือนไม่อยากรีบจากไป

 

“เธอจะทำอะไรในวันนี้?”

“…ไม่รู้ซี” เพียงนิ่งอยู่ครู่ใหญ่

“…ว่าจะไปแถวกาดต้นลำไย

เผื่อจะได้งานเขาเอาลูกน้อง”

 

“เธอมาหางานทำเพราะจำเป็น?

หรือแค่อยากเที่ยวเล่นอยู่ขึ้นล่อง?”

กัดปากกับคำถามแม้ทำนอง

จะรับรู้ว่าต้องย่อมตอบตรง

 

“ฉันมาหางานทำจำเป็นแหละ”

“งั้นเดี๋ยวแวะไปด้วยกันฉันไปส่ง”

เงยหน้าขึ้นเห็นตาประจัญจง

คิดว่าใจมั่นคงก็กลับเอน

 

เกือบมือสั่นส่วนลึกนึกประหม่า

ไม่คิดว่าจะมาสู่การรู้เห็น

หวังหลบหนีจากบ้านผ่านเลาะเร้น

สุดท้ายเป็นเพื่อนหวานมาผ่านพบ

 

“ขอบคุณมากนะหวานการช่วยเหลือ”

พูดแล้วเพื่อเบือนตาเบี่ยงหน้าหลบ

หากอีกครั้งอุ่นผ่าวเข้าสมทบ

มือฉันพบมือเพื่อนเปื้อนน้ำปลา

 

ด้วยกลิ่นคาวราวกลิ่นประทิ่นหอม

เพื่อนเดินอ้อมโต๊ะตั่งจากฝั่งหน้า

ยกแขนโอบรอบไหล่และไม่ช้า

ก็พบว่าเรากอดกันฉันกอดเธอ

 

เหมือนตะวันจันทร์ดาวขึ้นพราวเกลื่อน

“เธอมีเพื่อนนะพี่มีเสมอ

ฉันเคยฝันถึงอย่างนี้ที่ได้เจอ

คิดถึงเธอมาตลอด” หวานสอดเสียง

 

“ชีวิตเราทุกข์ยากมามากนัก

แต่เพราะรักนั่นไงให้ฉันเสี่ยง

ที่มุ่งหน้ามาไกลถึงในเวียง

เพื่อหวังเพียงสักวันฉันจะรวย

 

ถ้ามีบ้านมีเงินได้เดินมั่น

จะมีวันทาแป้งแต่งตัวสวย

เผื่อสักวัน…โชคจะเอื้ออำนวย

เธอจะเห็นฉันด้วยในสายตา”

 

กลับไปเป็นหวานซื่อคือมิตรเพื่อน

แต่คำเหมือนบาดอกถลกผ่า

อับละอายใจจนท้นน้ำตา

ได้แต่บอกเพื่อนว่า “…ฉันเสียใจ”

 

“ไม่เห็นต้องเสียใจอะไรนี่

เธอสิพี่ทำให้ฉันมีวันใหม่

แรงผลักดันวันก่อนที่ย้อนไป

ส่งฉันให้มาตรงนี้ที่ปัจจุบัน”

 

แม้ยังอยู่ห้องเช่าเก่าคับแคบ

พลันเหมือนแวบวับฟ้ามาเสกสรรค์

จ้องฉันจ้องใบหน้ามีฝ้ากรัน

พลางตาฉันเห็นความชั่วตัวฉันเอง