ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 12 - 18 สิงหาคม 2559 |
---|---|
คอลัมน์ | ยานยนต์ |
ผู้เขียน | สันติ จิรพรพนิต |
เผยแพร่ |
กําหนดเวลาเปิดตัวได้เข้ากับสถานการณ์เปี๊ยบ กับการอวดโฉมของพี่บิ๊กอย่าง “จีแอลอี 500 อี 4 เมติก” (GLE 500 e 4MATIC) รถเอสยูวีหรูหราแบบ “ปลั๊กอินไฮบริด” ค่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์
เพราะตอนนี้เมืองไทยกำลังมีกระแส “รถพลังงานไฟฟ้า” ซึ่งรัฐบาลต้องการสนับสนุนหวังให้เป็นโปรดักต์แชมป์เปี้ยนลำดับที่ 3 ต่อจากปิกอัพ และอีโคคาร์
แต่มีภาคเอกชนบางส่วนเห็นว่ายังไม่ถึงเวลา น่าจะทุ่มไปยังกลุ่มลูกผสมน้ำมัน-ไฟฟ้า (ไฮบริด) หรือกลุ่ม “ปลั๊กอินไฮบริด” ที่มีช่องเสียบไฟชาร์จแบตเตอรี่ จะเหมาะสมกว่า
ในส่วนของเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอง ก็ดูเหมือนจะเอนเองมาทางฝ่ายหลัง เนื่องจากในค่ายมีรถ “ปลั๊กอินไฮบริด” หลายรุ่นเหลือเกิน
ที่อวดโฉมมาแล้วคือ “S 500 e” และ “The C 350 e” ออกมาซัดกับคู่รัก-คู่แค้น “บีเอ็มดับเบิลยู” ที่มีรถปลั๊กอินไฮบริดเข้ามาจำหน่ายในเมืองไทยเช่นกัน
และเพื่อให้มีครบทุกเซ็กเมนต์จริงๆ “จีแอลอี 500 อี” จึงส่งมาเติมเต็มความต้องการของตลาด เพราะในช่วงหลายปีหลังรถเอสยูวีในบ้านเราฮอตฮิตเหลือเกิน
รวมถึงเพื่อตอกย้ำวิสัยทัศน์การเป็นผู้นำยนตรกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม หรือ “Mercedes-Benz electric Driving” ความเป็นที่หนึ่งด้านนวัตกรรมยานยนต์ ความโดดเด่นของรถยนต์กลุ่ม electric Driving ใน 3 ด้าน คือ
นวัตกรรมอันล้ำสมัย (Innovations) สมรรถนะอันทรงพลัง (High Performance) และเทคโนโลยีการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า (electric Drive)
เมอร์เซเดส-เบนซ์ ตั้งเป้าว่าจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จนนำไปสู่จุดสูงสุดคือรถยนต์ที่ไม่ปล่อยไอเสียออกมาเลย นั่นคือ “รถยนต์ไฟฟ้า”
อีกทั้งต้องการพิสูจน์ว่าไม่เพียงรถยนต์ขนาดเล็กเท่านั้นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่เทคโนโลยีระบบส่งกำลังที่ก้าวล้ำทำให้รถยนต์ขนาดใหญ่ อย่างเอสยูวี เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้เช่นกัน
“จีแอลอี 500 อี” ที่นำมาอวดโฉมนี้ยังมาเทรนด์เดิมของดาวสามแฉกคือ มีทั้งรุ่นปกติ GLE 500 e 4MATIC Exclusive และรุ่นแต่งพิเศษ GLE 500 e 4MATIC AMG Dynamic
ดีไซน์ภายนอก ได้อารมณ์รถสปอร์ตด้วยกระจังหน้าขนาดใหญ่ เส้นสายหลังคาถูกออกแบบให้ลาดเอียงไปทางด้านท้าย
รุ่น GLE 500 e 4MATIC AMG Dynamic ตกแต่งด้วยกระจังหน้าสีเงินเสริมโครเมียมแบบ 2 แถบ พร้อมตราสัญลักษณ์เมอร์เซเดส-เบนซ์ตรงกลาง, ขอบหน้าต่างแบบโครเมียม, ปลายท่อไอเสียเสริมโครเมียม 2 ท่อ
ไฟหน้าแบบ LED Intelligent Light System ไฟ daytime สำหรับการขับขี่ในเวลากลางวัน ไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง ไฟท้าย และไฟเบรก ดวงที่ 3 แบบ LED
GLE 500 e 4MATIC Exclusive ล้ออัลลอย ขนาด 20 นิ้ว สี Himalayas grey
ส่วน GLE 500 e 4MATIC AMG Dynamic จะเพิ่มลุคสปอร์ตยิ่งขึ้น ด้วยล้ออัลลอย ดีไซน์สปอร์ตจาก AMG ขนาด 20 นิ้ว สี titanium grey, ชุดแต่ง AMG bodystyling ที่บริเวณกันชนหน้า-หลัง, ดิสก์เบรกหน้าแบบมีช่องระบายความร้อน, สัญลักษณ์เมอร์เซเดส-เบนซ์บนคาลิปเปอร์เบรกหน้า
รวมถึงเพิ่มความรู้สึกกว้างขวางด้วยหลังคาพาโนรามิกซันรูฟเลื่อนเปิด-ปิด ได้ด้วยระบบไฟฟ้า (Electric panoramic sliding glass sunroof)
ภายในดูเรียบหรูแต่แฝงอารมณ์สปอร์ตในที ด้านบนของคอนโซลหน้า และด้านบนของแผงหุ้มประตูหุ้มด้วยหนัง Artico
พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น พร้อมระบบผ่อนแรงและปรับน้ำหนักตามความเร็วรถ, ปุ่มสตาร์ตเครื่องยนต์ (Push start)
ระบบแอร์อัตโนมัติ THERMATIC แบบ 2 โซน และระบบสำหรับเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่ Bluetooth
GLE 500 e 4MATIC Exclusive ตกแต่งด้วยเบาะนั่งหุ้มหนัง ระบบมัลติมีเดีย อย่าง วิทยุซีดี MB Audio 20
ส่วน GLE 500 e 4MATIC AMG Dynamic ตกแต่งด้วยเบาะนั่งหุ้มหนัง nappa พร้อมกับระบบ COMAND Online, ระบบเสียงรอบทิศทาง Harman Kardon Logic 7 และฟังก์ชันเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการ iOS (Apply CarPlay)
ห้องโดยสารภายในของทั้ง 2 รุ่น เบาะนั่งสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้าปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมหน่วยบันทึกความจำ โดยเบาะนั่งด้านหลังสามารถพับได้ทั้ง 1:3 / 2:3 ตามความต้องการเพื่อเพิ่มพื้นที่ในการจัดเก็บของที่เพิ่มขึ้น
ตกแต่งไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสารแบบ 3 สี ให้ความรู้สึกสนุก และสบายยามขับขี่ตอนกลางคืน
มาถึงหัวใจของรุ่นนี้ใช้เครื่องยนต์เบนซิน แบบวี เทอร์โบคู่ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ 6 สูบ 2,996 ซีซี กำลังสูงสุด 333 แรงม้า กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ 116 แรงม้า แรงบิด 480 นิวตันเมตร
แม้รูปร่างจะใหญ่โตและเป็นรถในประเภทเอสยูวี แต่ขอโทษอัตราเร่งไม่ธรรมดา ทำความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลาเพียง 5.3 วินาที ความเร็วสูงสุดซัดเข้าไปถึง 245 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ขับเคลื่อนด้วยระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติ “7G-TRONIC PLUS” แบบ DIRECT SELECT พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย
ส่วนแบตเตอรี่แบบ “ลิเธียม ไอออน” ความจุ 8.7 กิโลวัตต์ วางไว้ใต้เพลาขับด้านหลัง มีระบบหล่อเย็นจากน้ำและฝาป้องกันการกระแทกผลิตจากแผ่นโลหะปิดทับไว้อีกชั้นหนึ่ง เพื่อความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
แบตเตอรี่ลูกนี้สามารถชาร์ตไฟให้เต็มได้ภายในเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง สามารถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าหรือ EV เพียงอย่างเดียวได้ไกล 30 กิโลเมตร ด้วยความเร็วสูงสุดที่ 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง
การชาร์จไฟทำง่ายๆ เพราะมีหม้อแปลงมาให้ สายหนึ่งเสียบกับรถ อีกสายเสียบกับไฟบ้าน
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมฟังก์ชั่น Electronic Traction System 4ETS ระบบกันสะเทือนแบบ AIRMATIC
มีโหมดการขับขี่ 5 แบบ คือ Individual ที่สามารถช่วยจดจำรูปแบบการขับขี่ของผู้ขับได้, Comfort ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่รู้สึกผ่อนคลาย, Slippery เหมาะกับการวิ่งบนถนนลื่น, Sport และ Sport+
มี 4 โหมดการทำงานของระบบไฮบริด คือเต็มรูปแบบขับเคลื่อนด้วยน้ำมัน+ไฟฟ้า, ไฟฟ้าอย่างเดียว, สลับการใช้ระหว่างน้ำมันกับไฟฟ้า และโหมดชาร์จเจอร์ ทำงานด้วยน้ำมันแต่จะเก็บประจุเข้าแบตเตอรี่ เมื่อมีปริมาณเพียงพอจะปรับไปใช้ระบบไฟฟ้า
ความปลอดภัยมาครบทั้งระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ PRE-SAFE system ควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ, ระบบรักษาสมดุลของตัวรถเมื่อมีลมมาปะทะด้านข้าง, ไฟเบรกกะพริบอัตโนมัติเมื่อเบรกฉุกเฉิน, ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี, ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับรถ
เซ็นเซอร์ช่วยในการนำรถเข้าจอด, ระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ และอื่นๆ อีกมากมาย เรียกว่ามากันครบตามมาตรฐานยุโรป
สนนราคารุ่น “GLE 500 e 4MATIC Exclusive” จัดไปที่ 4,490,000 บาท
หากอยากได้ตัวแต่งเต็มยศต้อง “GLE 500 e 4MATIC AMG Dynamic” ราคา 4,990,000 บาท