แมลงวันในไร่ส้ม / ข่าวร้อน – ‘งานเข้า’ เรือดำน้ำ-เหมืองอัครา เขย่าต่อเนื่อง ‘รัฐบาลบิ๊กตู่’

แมลงวันในไร่ส้ม

ข่าวร้อน – ‘งานเข้า’

เรือดำน้ำ-เหมืองอัครา

เขย่าต่อเนื่อง ‘รัฐบาลบิ๊กตู่’

 

รัฐบาลยังอยู่ในสภาพที่เรียกว่า “งานเข้า” อย่างไม่หยุดหย่อน ล่าสุด คือกรณีงบฯ จัดซื้อ “เรือดำน้ำ” 2 ลำ วงเงิน 2.25 หมื่นล้านบาท และเหมืองอัครา ที่ยังสงสัยว่าจะเกิดรายการเสียค่าโง่อีกหรือไม่

สำหรับเรื่องเรือดำน้ำ การจัดซื้อเริ่มต้นในรัฐบาล คสช. และสภาแต่งตั้ง ทำให้ผ่านฉลุยมาตลอด แต่เมื่อถึงเวลาจะต้องชำระเงิน ซึ่งต้องมาตั้งวงเงินใน พ.ร.บ.งบประมาณ เป็นงวดๆ ก็เกิดปัญหาเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากโควิดระบาด จึงต้องชะลองบฯ ซื้องวดแรก 3,925 ล้านบาทไปก่อน แล้วมาตั้งงบฯ ใหม่ใน พ.ร.บ.งบประมาณ 2564 ที่สภากำลังพิจารณาในชั้นกรรมาธิการ

เรื่องนี้เข้าสู่อนุกรรมาธิการ (อนุ กมธ.) ครุภัณฑ์ ไอซีที รัฐวิสาหกิจ และทุนหมุนเวียน ที่มีนายสุพล ฟองงาม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ เป็นประธาน ซึ่งทำหน้าที่พิจารณาเบื้องต้น ก่อนเสนอเข้าสู่ที่ประชุมกรรมาธิการชุดใหญ่

และเป็นข่าวเปรี้ยงปร้าง เนื่องจากเกิดการซักถามและโต้แย้งจากอนุกรรมาธิการฝ่ายค้านหลายคน ก่อนจะมีการลงมติ ผลออกมา 4-4 ทำให้นายสุพลลงมติอนุมัติ

ข่าวที่ออกมาคือ การจัดซื้อมีกระบวนการที่ถูกต้องหรือไม่ กรรมาธิการฝ่ายค้านได้ตั้งคำถามว่า ที่ระบุว่าเป็นการซื้อระหว่างรัฐกับรัฐ หรือจีทูจี เป็นความจริงหรือไม่ และที่จุดชนวนความไม่พอใจในสังคมได้รุนแรงที่สุด ได้แก่ งบประมาณซื้อเรือดำน้ำ ในขณะที่ประเทศประสบปัญหาเศรษฐกิจ เป็นเรื่องที่เหมาะสมหรือไม่

เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะสังคมออนไลน์ และเป็นหัวข้อที่มีการกล่าวถึงอย่างมากในการชุมนุมแฟลชม็อบ

นายสุพลได้ออกมาช่วยอธิบายว่า การมีเรือดำน้ำก็เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ขณะที่ทางกองทัพเรือจัดทีมแถลงชี้แจงความจำเป็น

โดยมีการตอบโต้จากตัวแทนกองทัพเรือด้วยว่า เป็นการซื้อแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจีจริง ไม่ใช่จีทูจีเก๊แบบ “จำนำข้าว”

กระแสรุนแรง ประกอบกับการแฉเบื้องหลังไปยังกลุ่มธุรกิจค้าอาวุธที่โยงถึงบุคคลสำคัญในรัฐบาล ทำให้รัฐบาลเครียดไปตามๆ กัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ออกมาแย้มๆ ว่า รัฐบาลมีแผนสองในเรื่องนี้

และต่อมา วันที่ 31 สิงหาคม ที่รัฐสภา ในการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธาน กมธ.งบประมาณฯ ได้ชี้แจงว่า จากการพูดคุยกับ กมธ.หลายพรรคการเมือง มีความเห็นตรงกันว่า เรือดำน้ำ 3 ลำมีความจำเป็น ขณะนี้เรือดำน้ำ 2 ลำได้ผ่านงบประมาณปี 2563 ไปแล้ว แต่ ทร.ได้นำเงิน 3,925 ล้านบาทคืนให้รัฐบาล เพื่อมาแก้ไขปัญหาโควิด โดยรัฐบาลให้ตั้งงบฯ คืนในร่าง พ.ร.บ.งบฯ ปี 2564

แต่ปรากฏว่า โควิดก็ยังไม่คลี่คลาย และอาจจะมีการระบาดระลอก 2 เกิดขึ้น จึงได้ขอให้ ทร. กระทรวงกลาโหม และรัฐบาลพูดคุยเพื่อขอเลื่อนการจ่ายเงินงวดแรก 3,925 ล้านบาท และ ทร.ได้ทำหนังสือแจ้ง กมธ.ว่า ยินดีให้ปรับงบประมาณจำนวน 3,925 ล้านบาทออกไปก่อน และให้กองทัพเรือไปใช้งบประมาณในปีถัดไปตามเห็นสมควร

ส่วนเงินที่ปรับออกไปนั้น คงเป็นหน้าที่ของหน่วยรับงบประมาณและสำนักงบประมาณจะไปพิจารณาว่าจะนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น

นพ.เอกภพ เพียรพิเศษ ส.ส.เชียงราย และนายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ จากพรรคก้าวไกล ได้อภิปรายว่า ไม่เห็นความสำคัญในการจัดซื้อเรือดำน้ำ และไม่เห็นด้วยกับการเลื่อนออกไปเพียง 1 ปี เพราะไม่น่าจะเป็นประโยชน์ เพราะสถานการณ์โควิดก็ยังไม่สิ้นสุดภายใน 1 ปีจากนี้

จากนั้นที่ประชุม กมธ.งบประมาณฯ มีมติ 63 ต่อ 0 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง เห็นด้วยกับการปรับลดงบประมาณ 3,925 ล้านบาท

เป็นอันยุติเรื่องเรือดำน้ำในปีนี้ แต่เชื่อว่าจะไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะยังมีกระแสข้องใจว่าประเทศไทยจำเป็นต้องมีเรือดำน้ำหรือไม่

 

และก่อนที่กรรมาธิการจะลงมติตัดงบฯ ซื้อเรือดำน้ำในปีนี้ ก็มีข่าวเรื่อง “เหมืองอัครา” สะพัดออกมาอีก

โดยในตอนเช้าวันที่ 28 สิงหาคม แฮชแท็ก #เหมืองทองอัครา กลับมาติดเทรนด์ทวิตเตอร์

เป็นผลจากการเผยแพร่เอกสารงบประมาณปี 2564 ปรากฏรายการตั้งงบประมาณ 111.1 ล้านบาท เพื่อใช้ระงับข้อพิพาทระหว่างราชอาณาจักรไทย กับบริษัทคิงส์เกต จากประเทศออสเตรเลีย

จากเหตุที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ใช้มาตรา 44 สั่งปิดเหมืองทองอัครา เมื่อปี 2559 บริษัทแม่ของอัครารีซอร์สเซส เจ้าของเหมืองอัครา ได้ร้องอนุญาโตตุลาการ ให้ไทยชดใช้ค่าเสียหายมูลค่าถึง 3 หมื่นล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีการตรวจสอบงบประมาณย้อนหลังกลับไปในปี 2562 และ 2561 ที่ผ่านมาพบว่ามีการใช้งบประมาณเพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างไทยกับบริษัทคิงส์เกตไปแล้ว 217 ล้านบาท และ 60 ล้านบาทตามลำดับ โดยหากรวมงบประมาณในปี 2564 เท่ากับรัฐบาลจะใช้งบประมาณในการระงับข้อพิพาทในครั้งนี้อย่างน้อย 388 ล้านบาท ยังไม่รวมค่าเสียหายในกรณีที่อาจแพ้คดีอีกถึง 3 หมื่นล้านบาท

มีการหยิบยกคำกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ใน ครม.ที่เคยบอกว่าจะรับผิดชอบเอง มาถามว่า แล้วทำไมยังใช้งบฯ รัฐในการต่อสู้คดี

รวมถึงตั้งคำถามว่า ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยเมื่อครั้งพรรคพลังประชารัฐจะเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ในบัญชีชื่อนายกฯ ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ใช่เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ แล้วจะใช้งบฯ ของทางราชการในเรื่องนี้ได้หรือไม่ รวมถึงในกรณีประเทศไทยแพ้คดีด้วย

พรรคฝ่ายค้านแถลงข่าวว่า จะเสนอตัดงบฯ 111.1 ล้านบาท ในการประชุมพิจารณางบฯ รายการนี้

แต่ต่อมาวันที่ 31 สิงหาคม ในการประชุม กมธ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 พิจารณารายงานของคณะอนุ กมธ.ฝึกอบรม สัมมนา ประชาสัมพันธ์ฯ

ได้มีการพิจารณางบประมาณ 111 ล้านบาทของกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อใช้ต่อสู้คดีเหมืองอัครา

นพ.เรวัต วิศรุตเวช ส.ส.บัญชีรายชื่อ กมธ.จากพรรคเสรีรวมไทย แปรญัตติตัดงบประมาณทั้งหมด 111 ล้านบาท เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยว่า หัวหน้า คสช.ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ จึงไม่มีสิทธิใช้งบประมาณต่อสู้คดี

อย่างไรก็ตาม ในที่สุดที่ประชุม กมธ.มีมติเสียงข้างมาก 38 ต่อ 21 เสียง ให้ปรับลดงบฯ 12 ล้านบาทตามที่อนุ กมธ.เสนอมา

โดยทาง นพ.เรวัตและ กมธ.ที่เห็นตรงกันจึงขอใช้สิทธิสงวนคำแปรญัตติขอให้ตัดงบประมาณทั้งหมด 111 ล้านบาท ในชั้นการพิจารณารายมาตราในวาระ 2 ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะพิจารณาวาระ 2-3 ในระหว่างวันที่ 16-18 กันยายนนี้ต่อไป

จึงยังมีโอกาสอีกมากที่เหมืองอัคราจะกลับมาเขย่ารัฐบาลอีก ทั้งในเดือนกันยายนนี้ และปลายปีหรือต้นปี 2564 ที่จะมีคำตัดสินในเรื่องนี้

กว่า 12 ปี ของการจัดงาน Healthcare เครือมติชนร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ได้ส่งต่อความรู้และให้บริการสุขภาพแก่คนไทยในทุกมิติ ทั้งการป้องกัน ดูแล และรักษา โดยเฉพาะการบริการตรวจสุขภาพฟรีจากสถานพยาบาลชั้นนำ เวิร์กชอป ให้คำปรึกษาปัญหาสุขภาพ รวมถึงการยกระดับเวทีเสวนาให้เป็น “Health Forum” เปิดเวทีให้แพทย์ และ Speaker ระดับประเทศ มาร่วมพูดคุยถึงแนวทางการป้องกัน การรักษา และนำเสนอนวัตกรรมทางการแพทย์ รวมถึงเรื่องราวสุขภาพในแบบเอ็กซ์คลูซีฟที่จะมาให้อัปเดตตลอด 4 วันของการจัดงาน เดินทางสะดวกโดยทางด่วนและ MRT ลงสถานีสามย่าน ทางออกที่ 2
ลงทะเบียนเข้างานฟรี มีต้นไม้แจกด้วยนะ (จำนวนจำกัด)