กาแฟดำ | มหาอำนาจมีสิทธิเป็น Banana Republic ไหม?

สุทธิชัย หยุ่น

การจะเรียกประเทศไหนว่าเป็น Banana Republic หรือ “สาธารณรัฐกล้วยหอม” ไม่ใช่เรื่องง่าย

เพราะแปลว่าประเทศของตัวเองต้องไม่เข้าข่ายเป็น “กล้วยหอม”

และประเทศที่ถูกติดป้ายนี้ต้องมีคุณสมบัติบางประการที่เข้าข่ายเป็น “สาธารณรัฐ” ที่มีสัญลักษณ์เป็น “กล้วยหอม”

ไม่ใช่กล้วยน้ำหว้าหรือกล้วยไข่

เช่น เป็นประเทศยากจน, ด้อยพัฒนา, มีผู้นำเผด็จการ, การปกครองเป็นลักษณะรวมศูนย์อำนาจ, คอร์รัปชั่นรุนแรง, เศรษฐกิจพึ่งพิงเฉพาะพืชไม่กี่อย่างโดยมีกล้วยหอมเป็นสินค้าส่งออกที่สร้างรายได้หลัก

ถ้าเป็นสมัยนี้ก็เรียกว่า Failed state หรือ “รัฐล้มเหลว”

แต่เมื่อเกิดเหตุจลาจลทั่วประเทศสหรัฐหลังการเสียชีวิตของผู้ต้องสงสัยผิวดำที่ชื่อ George Floyd โดยฝีมือ (ความจริงใช้เข่า) ของตำรวจผิวขาวที่เมืองมินนีอาโปลิส (รัฐมินนิโซตา) เมื่อปลายเดือนพฤษภาคมนี้

รวมไปถึงพฤติกรรมของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

บวกกับความรุนแรงของตำรวจต่อผู้ประท้วง มีการยิงแก๊สน้ำตาและกระสุนยาง

ก็เกิดการตั้งคำถามว่า สหรัฐอเมริกา ประเทศมหาอำนาจหมายเลขหนึ่งของโลกมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเมื่อ 75 ปีก่อนกำลังจะกลายเป็น Banana Republic หรือไม่

ผมเห็นเป็นคำถามที่ท้าทายมาก เพราะคนตั้งคำถามไม่ใช่คนในประเทศอื่นที่ไม่ชอบอเมริกา หรือชาติไหนที่มีเศรษฐกิจและการเมืองที่อยู่เหนือชั้นกว่าสหรัฐ

แต่เป็นคำถามของคนอเมริกันเองที่เริ่มจะไม่แน่ใจว่าสถานภาพของสังคมตัวเองกำลังเสื่อมทรุดถึงขั้นที่กลายเป็น “สาธารณรัฐกล้วยหอม” เหมือนที่ตัวเองเคยเรียกประเทศอื่นบางประเทศหรือไม่

ก่อนจะได้อ่านเจอบทวิเคราะห์ในนิตยสารอเมริกันที่ตั้งคำถามนี้ ผมได้ใช้คำว่า “สหรัฐกำลังจะกลายเป็นประเทศโลกที่สาม” หรือไม่

เพราะเห็นทหาร National Guard อาวุธครบมือไปยืนเรียงแถวเพื่อปกป้อง Lincoln Memoral กลางเมืองหลวงวอชิงตัน ดี.ซี.

เห็นตำรวจปะทะกับผู้ประท้วงวิ่งไล่ล่ากันเหมือนภาพการเผชิญหน้าของคนเคียดแค้นชิงชังรัฐบาลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในประเทศยากจนหลายประเทศ

เห็นภาพการเผาบ้านเผาเมืองและการปล้นสะดมระหว่างการชุมนุมและเดินขบวนต่อต้านการเหยียดสีผิว

เห็นปัญหาความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจน คนขาวกับคนดำ เศรษฐีกับยาจกในอเมริกาที่ไม่ได้แตกต่างไปจากประเทศโลกที่สามเท่าไหร่นัก

เห็นผู้นำของสหรัฐขู่ว่าจะส่งทหารประจำการเข้าสลายม็อบในรัฐต่างๆ

คําว่า Banana Republic ไม่ได้เกิดขึ้นยุคสมัยนี้ หากแต่เป็นวลีของนักเขียนอเมริกันคนดัง O. Henry ที่เขียนเรื่องสั้นซีรี่ส์หนึ่งเพื่อสะท้อนถึงประเทศที่มีลักษณะที่กล่าวมาข้างต้นเมื่อต้นทศวรรษปีหลัง 1900

เขาสมมุติชื่อประเทศนี้ว่า Anchuria (ทำให้คิดถึง “สารขัณฑ์” ของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ในหนังเรื่อง Ugly American ที่ถ่ายทำในประเทศไทยในยุค Sixties ว่าด้วยความยิ่งใหญ่อหังการของสหรัฐในยุคสงครามเย็น)

โอ เฮนรี เขียนจากประสบการณ์จริงของตัวเองที่ประเทศฮอนดูรัสในอเมริกาใต้เพื่อหนีคดีที่ถูกกล่าวหาว่ายักยอกเงินจากธนาคารที่เขาทำงานอยู่ที่รัฐเท็กซัสของสหรัฐ

ภาพของ “สาธารณรัฐกล้วยหอม” จากผลงานเขียนของเขาติดตรึงคนแวดวงการเมืองและเศรษฐกิจมาถึงวันนี้

เป็นภาพของประเทศที่มีเผด็จการครองอำนาจเบ็ดเสร็จ มีระบบอุปถัมภ์เป็นหลัก การเมืองไร้เสถียรภาพ เศรษฐกิจยอบแยบ พึ่งพารายได้จากสินค้าเกษตรตัวเดียวคือกล้วยหอม

ต่อมาคำนี้ใช้เปรียบเปรยกับสังคมที่มีผู้นำเป็นเผด็จการทหารที่ทำลายสถาบันการเมือง บ้าอำนาจ พยายามยืดเวลาของการมีอำนาจของตัวเองให้ยาวนานที่สุด

ไม่ว่าประเทศนั้นจะมีกล้วยหอมเป็นพืชหลักแห่งรายได้ประจำชาติหรือไม่ก็ตาม

สมัยหนึ่งคำว่า “Banana Republic” ใช้กับประเทศอย่าง

อูกันดาภายใต้อีดี้ อามิน

ลิเบียของโมอามาร์ กัดดาฟี

อาร์เจนตินาภายใต้คาร์ลอส เมเน็ม

ไทยเราภายใต้รัฐประหารบางครั้งก็เข้าข่ายเสี่ยงที่จะถูกเรียกขานด้วยชื่อนี้

แต่คงมีการวิ่งเต้นกันรุนแรงพอสมควรจึงไม่ถูกแปะด้วยป้ายนี้อย่างเป็นทางการ

เรียกกันอย่างเกรงใจเล็กๆ ว่า “ประชาธิปไตยจอมปลอม” หรือ “สังคมกึ่งเผด็จการ”

วันนี้ ประเทศที่เข้าข่ายถูกตราหน้าว่าเป็น “สาธารณรัฐกล้วยหอม” คงจะอยู่แถวๆ แอฟริกาและละตินอเมริกา อยู่ที่ว่ามหาอำนาจจะได้ประโยชน์มากน้อยแค่ไหนจากประเทศเหล่านั้น

แต่สหรัฐภายใต้ทรัมป์กำลังจะทำให้โลกหมุนกลับด้าน และมหาอำนาจเบอร์หนึ่งของโลกกำลังถูกมองว่ากำลังมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับยี่ห้อที่ตัวเองยัดเยียดใส่ประเทศอื่นเต็มทีแล้ว

วันก่อน แนนซี่ เพโลซี แห่งพรรคเดโมแครต ผู้นำฝ่ายเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร (ซึ่งคือผู้มีตำแหน่งสำคัญทางการเมืองเบอร์สามของประเทศ) เล่าเรื่องที่ลูกสาวของตัวเองต้องเผชิญกับภาวะที่มีความละม้ายกับการเมืองแบบนั้น

ลูกสาวของเธอเป็นนักสร้างหนังและนักข่าว ไปทำข่าวช่วงที่ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังเดินข้ามจากทำเนียบขาวไปที่โบสถ์ St John”s เพื่อสร้างภาพถ่ายรูปถือคัมภีร์ไบเบิลออกข่าวตัวเอง

ระหว่างนั้นหน่วยรักษาความปลอดภัยอาวุธครบมือใช้กำลังและแก๊สน้ำตากดดันและผลักไสผู้ประท้วงจำนวนหนึ่งให้ออกนอกเส้นทางของทรัมป์

ส.ส.เพโลซีถามในรายการสัมภาษณ์ทาง MSNBC ว่า

“นี่มันอะไรกัน? เราอยู่ในสาธารณรัฐกล้วยหอมกันแล้วหรืออย่างไร?”

หาก ส.ส.ฝ่ายค้านที่ประกาศตนเป็นศัตรูไม่เผาผีกับทรัมป์อย่างเพโลซีตั้งคำถามอย่างนี้เพียงคนเดียวก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกเกินไปนัก

แต่วันเดียวกันนั้น อดีตรัฐมนตรีกลาโหมของทรัมป์เองที่ชื่อเจมส์ แมตทิส ออกแถลงการณ์ด้วยภาษาและสาระที่ดุดันและร้อนแรงอย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน

อดีตรัฐมนตรีแห่งกระทรวงเพนตากอนคนนี้บอกว่าเขา “โกรธและตกใจ” ที่มีการใช้กำลังทหารต่อคนอเมริกันที่ชุมนุมเพื่อใช้สิทธิประท้วงตามรัฐธรรมนูญ

“ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีคนแรกในชีวิตของผมที่พยายามจะแบ่งแยกประชาชนแทนที่จะทำหน้าที่ประสานรอยร้าวของสังคม…”

สิ่งที่ไม่เคยเกิดในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐก็เกิดขึ้นได้ในอเมริกาวันนี้

เพราะในวันต่อมา รัฐมนตรีกลาโหมคนปัจจุบัน มาร์ก เอสเปอร์ ก็ออกมาแยกตัวออกจากแนวทางของผู้นำของตนเองด้วยการบอกว่าเขาไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องใช้ทหารประจำการเพื่อสลายการชุมนุม

ทรัมป์ส่งเสียงดังไปทั่วว่าเขากำลังพิจารณาใช้อำนาจของ “ผู้บัญชาการทหารสูงสุด” ที่จะสั่งการให้ทหารประจำการของรัฐบาลกลางเข้าระงับเหตุในรัฐต่างๆ ที่ผู้ว่าการรัฐหรือนายกเทศมนตรีไม่สามารถจัดการกับผู้ประท้วงได้

ทันใดนั้นก็มีเสียงตอบโต้จากผู้ว่าการรัฐและนายกเทศมนตรีหลายแห่งว่า “เราไม่ยอมรับอำนาจของทรัมป์ที่จะทำอย่างนั้น”

อดีตรัฐมนตรีกลาโหมเจมส์ แมตทิส ตอกย้ำในแถลงการณ์ฉบับนั้นว่า

“ตอนที่ผมเข้าทำงานในกองทัพเมื่อประมาณ 50 ปีก่อน ผมเข้าพิธีสาบานตนที่จะสนับสนุนและปกป้องรัฐธรรมนูญ ผมไม่เคยแม้แต่จะฝันเห็นทหารคนอื่นๆ ที่สาบานตนอย่างนั้นเหมือนกันจะถูกสั่งให้กระทำการที่จะละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญของเพื่อนร่วมชาติ ยิ่งไม่คิดว่าจะเห็นการใช้อำนาจนั้นมาเพื่อที่จะเปิดทางให้ประธานาธิบดีมีโอกาสถ่ายภาพของผู้บัญชาการทหารสูงสุดที่ประชาชนเลือกมา โดยมีผู้นำทหารทั้งหลายยืนประกบอยู่ข้างๆ…”

นักรัฐศาสตร์, นิติศาสตร์และสังคมวิทยาอเมริกันจำนวนไม่น้อยที่แสดงอาการตกใจกับปรากฏการณ์เช่นนั้น

นักวิเคราะห์คนหนึ่งสรุปเจาะลงตรงหัวใจของปัญหาของระบอบประชาธิปไตยมะกันวันนี้ว่า

“ทรัมป์ได้พิสูจน์แล้วว่าระบบการเมืองของเรามีความเปราะบางที่แฝงอยู่และพร้อมจะถูกรื้อถูกถอนออกมาได้…”

แต่ก่อนคนกลัวว่านโยบายต่างประเทศของสหรัฐจะถูกอิทธิพลการใช้กำลังทหารครอบงำมากเกินเหตุ

วันนี้ผู้คนเริ่มกลัวว่าทรัมป์กำลังจะลากกองทัพเข้ามากำหนดนโยบายการเมืองในประเทศในระดับที่ไม่เคยพบไม่เคยเห็นมาก่อน

ยิ่งเลือกตั้งประธานาธิบดีจะเกิดขึ้นในไม่กี่เดือนข้างหน้า ยิ่งจะเห็นทรัมป์ทำอะไรเพี้ยนๆ ที่เข้าใกล้ความเป็น “สังคมสวนกล้วย” มากขึ้นทุกที


กว่า 12 ปี ของการจัดงาน Healthcare เครือมติชนร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ได้ส่งต่อความรู้และให้บริการสุขภาพแก่คนไทยในทุกมิติ ทั้งการป้องกัน ดูแล และรักษา โดยเฉพาะการบริการตรวจสุขภาพฟรีจากสถานพยาบาลชั้นนำ เวิร์กชอป ให้คำปรึกษาปัญหาสุขภาพ รวมถึงการยกระดับเวทีเสวนาให้เป็น “Health Forum” เปิดเวทีให้แพทย์ และ Speaker ระดับประเทศ มาร่วมพูดคุยถึงแนวทางการป้องกัน การรักษา และนำเสนอนวัตกรรมทางการแพทย์ รวมถึงเรื่องราวสุขภาพในแบบเอ็กซ์คลูซีฟที่จะมาให้อัปเดตตลอด 4 วันของการจัดงาน เดินทางสะดวกโดยทางด่วนและ MRT ลงสถานีสามย่าน ทางออกที่ 2
ลงทะเบียนเข้างานฟรี มีต้นไม้แจกด้วยนะ (จำนวนจำกัด)