ในประเทศ / Hey! teachers leave them kids alone

ในประเทศ

 

Hey! teachers

leave them kids alone

 

We don’t need no education

We don’t need no thought control

No dark sarcasm in the classroom

Teachers leave them kids alone

Hey, teachers leave them kids alone

All in all it’s just

Another brick in the wall

All in all it’s just

Another brick in the wall

 

We don’t need no education

We don’t need no thought control

No dark sarcasm in the classroom

Teachers leave them kids alone

Hey, teachers leave them kids alone

All in all it’s just

Another brick in the wall

All in all it’s just

Another brick in the wall

เพลง : Another Brick in the Wall

ศิลปิน : Pink Floyd

(youtube.com/watch?v=hstNtMxJwXY)

 

พวกเราไม่ต้องการการศึกษามาบีบเค้นเรา

พวกเราไม่ต้องการการครอบงำทางความคิด

ไม่อยากให้มีคำเย้ยหยันหม่นมืดในห้องเรียน

ครูปล่อยให้เด็กๆ มีความคิดเป็นของตัวเอง

เฮ้ ครูควรปล่อยให้เด็กๆ มีความคิดเป็นของตนเอง

ทั้งหมดนี้มันก็เหมือนเป็นเพียงแค่ก้อนอิฐก้อนหนึ่งในกำแพง

ทั้งหมดนี้มันก็เหมือนเป็นเพียงแค่ก้อนอิฐก้อนหนึ่งในกำแพง

 

ความบางส่วนที่ถอดออกมาจากเพลง Another Brick in the Wall ของวง Pink Floyd

ที่แม้จะเป็นเพลงเก่า ซึ่งเยาวชน นักเรียน นักศึกษาในปัจจุบันส่วนใหญ่อาจไม่รู้จัก

แต่สิ่งที่ “นักเรียนมัธยมทั่วประเทศ” สร้างปรากฏการณ์ชู 3 นิ้วร้องเพลงชาติ พร้อมกับนัดการผูกโบขาว แสดงออกเชิงสัญลักษณ์ไม่เอาเผด็จการ! ทำแฮชแท็ก #โรงเรียนหน้าเขาไม่เอาเผด็จการ ซึ่งพุ่งอันดับ 1 ทวิตเตอร์ประเทศไทย

ดูจะปลุกชีพเพลงนี้ขึ้นมา

ด้วยสอดประสานกับเพลง Another Brick in the Wall อย่างยิ่ง

เพราะปรากฏการณ์ที่ว่า

เป็นดังการก่อขบถ

ขบถที่ทลายกำแพงที่ถูกก่อล้อมกรอบพวกเขาเอาไว้

เพื่อก้าวออกมาสู่อิสรภาพทางการศึกษานั่นเอง

 

วิกิพีเดียไทยให้ข้อมูลว่า Another Brick in the Wall เป็นซิงเกิลในอัลบั้มเดอะวอลล์ (The Wall) เป็นสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 11 (มีไตรภาค) ของวงโปรเกรสซีฟร็อกจากประเทศอังกฤษ พิงก์ ฟลอยด์

อันประกอบด้วย เดวิด กิลมอร์ (มือกีตาร์), โรเจอร์ วอเทอร์ส (มือกีตาร์/ร้องนำ), ริชาร์f ไรต์ (มือคีย์บอร์ด) และนิก เมสัน (มือกลอง)

อัลบั้มเปิดตัวในวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ.1979

และภายหลังการทัวร์ “The Wall Tour” (1980-1981) ได้ออกภาพยนตร์กึ่งมิวสิกวิดีโอในปี ค.ศ.1982 ในชื่อ “Pink Floyd – The Wall”

ซิงเกิล Another Brick in the Wall ครองอันดับ 1 บนชาร์ตต่างๆ เพียงซิงเกิลเดียวในอัลบั้ม

ซิงเกิลนี้ถูกนำไปใช้ในวงการต่อต้านเป็นวงกว้างโดยเฉพาะการศึกษา

เพราะเพลงได้หยิบยกเอาประเด็นเด็กไปโรงเรียนแล้วถูกรังแก กดขี่ข่มเหงจากคุณครู

จนเด็กนักเรียนได้รวมตัวประท้วงความเข้มงวดและความเจ้าระเบียบของโรงเรียนลง

รวมทั้งเรียกร้องเสรีภาพในการศึกษา

ส่งอิทธิพลต่อผู้คนในช่วงดังกล่าวเป็นอย่างสูง

ถึงขนาดปี ค.ศ.1980 ประเทศแอฟริกาใต้ได้แบนเพลง Another Brick in the Wall ที่นักศึกษาได้นำเพลงมาปรับใช้ในการออกมาประท้วงด้านความไม่เท่าเทียมทางเชื้อชาติในโรงเรียนภายใต้ระบอบการแบ่งแยกสีผิว

ในเมืองไทย เพลงนี้ก็เคยมีอิทธิพลไม่น้อยในกลุ่มนักเรียน นิสิต นักศึกษาหัวก้าวหน้า

ก่อนที่จะซาๆ ลงไปตามกาลเวลา

แต่อย่างที่บอกตอนต้น หากได้ฟังหรือดูภาพยนตร์กึ่งมิวสิกวิดีโอ ในปัจจุบันจะสัมผัสได้ถึงความร่วมสมัยกับตอนนี้อย่างน่าประหลาดใจ

 

ปรากฏการณ์ชู 3 นิ้วร้องเพลงชาติ พร้อมกับนัดการผูกโบขาว แสดงออกเชิงสัญลักษณ์ไม่เอาเผด็จการทั้งในโรงเรียนและการเมืองข้างนอกของนักเรียนมัธยมครั้งนี้ อาจถือเป็นการ “ขบถ” ที่สร้างความตื่นตกใจให้กับ “ครู” หรือ “ผู้ใหญ่” เป็นอย่างมาก

เนื่องจากไม่เคยปรากฏมาก่อนและไม่คิดฝันว่าจะเกิดขึ้น

แต่เมื่อเห็นกับตา จึงเกิดอาการช็อก

และครูหลายโรงเรียนได้แสดงปฏิกิริยาทางด้านลบต่อนักเรียน ทั้งทางวาจาด้วยการดุด่า และรวมถึงการลงไม้ลงมือด้วย

ยิ่งนำไปสู่การต่อต้าน และมีการนำคลิปออกมาเปิดเผยอย่างมากมายในโลกโซเชียลมีเดีย

สะท้อนภาวะ “อำนาจ” นิยมในโรงเรียนที่ฝังตัวมาอย่างยาวนานต่อเนื่อง

แต่ตอนนี้กลับถูกเปิดโปงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

 

มีการพยายามจะอธิบายว่า เด็กนักเรียนเหล่านี้ถูกหลอก ถูกบังคับ หรือไม่มีวุฒิภาวะวินิจฉัยเรื่องต่างๆ อย่างไม่เพียงพอ จึงไปรับเอาสิ่ง “แปลกปลอม-แปลกแยก” เข้ามาในรั้วโรงเรียน

แม้กระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยังบอกว่า

“จากการรับฟังความคิดเห็นจากเด็กๆ หลายคน เขาบอกบางทีในสถาบันศึกษา ไม่ว่าจะเป็นระดับไหนก็ตาม มีการบูลลี่กัน ถ้าใครไม่มาร่วมก็จะถูกกีดกันไม่ให้เข้าร่วมชมรม เข้ากลุ่ม อะไรแบบนี้ คิดว่านั่นคืออันตราย ผมเพียงแต่ยกตัวอย่างเฉยๆ ที่ได้ฟังจากนักศึกษามา บางคนไม่ได้อยากจะมีส่วนร่วม แต่ถูกบูลลี่ ถูกกีดกัน อะไรหลายๆ อย่างด้วยกัน ขอให้ทุกคนหารือด้วยเหตุและผลก็แล้วกัน”

ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ก็ด้อยค่าปรากฏการณ์นี้ โดยเฉพาะการชู 3 นิ้ว ว่า “อ๋อ ลูกเสือๆ”

โดยทวิตเตอร์ ศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี ที่ใช้ชื่อว่า PMOC ศปก.นรม. @PMOC10 ได้ทวีตรูปภาพขยายความการชูสามนิ้ว ที่ลากโยงเข้าไปเป็นสัญลักษณ์การเคารพของลูกเสือ #ข้าจะจงรักภักดีต่อชาติศาสนาพระมหากษัตริย์

โดยระบุว่า ลูกเสือมีคำปฏิญาณ 3 ข้อดังนี้

ด้วยเกียรติของข้า ข้าสัญญาว่า

ข้อ 1 ข้าจะจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ข้อ 2 ข้าจะช่วยเหลือผู้อื่นทุกเมื่อ

ข้อ 3 ข้าจะปฏิบัติตามกฎของลูกเสือ

ถือเป็นการช่วงชิงความหมายของการชู 3 นิ้ว ไปเป็นสิ่งที่มีคุณกับรัฐบาล

ตรงกันข้ามกับความหมายที่เหล่าเยาวชนชู 3 นิ้วเลียนแบบการชู 3 นิ้วของนางเอกในภาพยนตร์ดังเรื่อง The Hunger Games แสดงออก เพื่อแสดงการต่อต้านผู้ที่มีอำนาจ และเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ของสันติภาพ เสรีภาพ และภราดรภาพ

 

ซึ่งก็คงต้องติดตามความหมายที่ฝ่ายรัฐบาลพยายามจะให้เป็น จะได้ผลหรือไม่

จะซ้ำรอยกับสิ่งที่รัฐบาลโดยเฉพาะในห้วงการปกครองคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่พยายามปลูกฝังเยาวชนของชาติ ให้ยึดค่านิยมหลักของคนไทย 12 ประการ คือ

  1. มีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
  2. ซื่อสัตย์ เสียสละ อดทน มีอุดมการณ์ในสิ่งที่ดีงามเพื่อส่วนรวม
  3. กตัญญูต่อพ่อ-แม่ ผู้ปกครอง ครูบาอาจารย์
  4. ใฝ่หาความรู้ หมั่นศึกษาเล่าเรียนทั้งทางตรงและทางอ้อม
  5. รักษาวัฒนธรรมประเพณีไทยอันงดงาม
  6. มีศีลธรรม รักษาความสัตย์ หวังดีต่อผู้อื่น เผื่อแผ่และแบ่งปัน
  7. เข้าใจเรียนรู้การเป็นประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่ถูกต้อง
  8. มีระเบียบวินัย เคารพกฎหมาย ผู้น้อยรู้จักการเคารพผู้ใหญ่
  9. มีสติรู้ตัว รู้คิด รู้ทำ รู้ปฏิบัติตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
  10. รู้จักดำรงตนอยู่โดยใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รู้จักอดออมไว้ใช้เมื่อยามจำเป็น มีไว้พอกินพอใช้ ถ้าเหลือก็แจกจ่ายจำหน่าย และพร้อมที่จะขยายกิจการเมื่อมีความพร้อม เมื่อมีภูมิคุ้มกันที่ดี
  11. มีความเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่ยอมแพ้ต่ออำนาจใฝ่ต่ำ หรือกิเลส มีความละอายเกรงกลัวต่อบาปตามหลักของศาสนา
  12. คำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวมและของชาติมากกว่าผลประโยชน์ของตนเอง

แต่ถามว่า เมื่อเวลาผ่านไป 6 ปีหลังการยึดอำนาจ

มีเยาวชนคนไหนเชื่อและจดจำค่านิยมเหล่านี้ได้บ้าง

ตรงกันข้าม เหล่าเยาวชนกลับไปสมาทานความเชื่ออื่น

ที่สร้างความตื่นตะลึง ด้วยมันไปย้อนแย้งกับค่านิยม 12 ประการ ที่พยายาม “ฝังหัว” เสียเอง

 

กลุ่มเยาวชนปลดแอกซึ่งเป็นแกนเคลื่อนไหวในภาพใหญ่ ได้ออกแถลงการณ์สดุดีนักเรียน พร้อมประณามบุคลากรทางการศึกษา รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐที่ยังคงคุกคามเยาวชนและประชาชนอย่างต่อเนื่อง

โดยระบุว่า

ผู้ที่กำลังหลงระเริงในอำนาจ ยังไม่รู้ตัวอีกหรือว่า อำนาจของคุณได้เสื่อมสลายลงไปโดยสิ้นเชิงแล้ว

ผู้ที่ถูกอำนาจนิยมกดขี่เช้าเย็นมาอย่างช้านานด้วยระบบการศึกษาที่สอนให้เป็นทาส อย่างนักเรียนในชั้นมัธยม ยังไม่สยบยอมต่อการกดขี่

ในเวลานี้ โบขาวได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของพลังบริสุทธิ์

สัญลักษณ์ของการต้องการเห็นอนาคตที่ดีกว่า

ต้องการเห็นความยุติธรรมเกิดขึ้นในประเทศนี้เสียที

นักเรียนทุกคนที่เรียกร้องผ่านโบขาว ยืนโดดเด่นท้าทายอำนาจเผด็จการด้วยการชูสามนิ้วอย่างพร้อมเพรียงกัน

นี่เป็นสิ่งที่น่าประทับใจยิ่ง

เราขอประณามผู้ที่คุกคามการแสดงออกที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรทางการศึกษาหรือเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ทั้งข่มขู่ และทำร้ายร่างกายและจิตใจของนักเรียน หรือเยาวชน และประชาชน

โรงเรียนซึ่งเป็นสถานศึกษา อย่างน้อยควรเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในการแสดงออกทางความคิด ปราศจากการคุกคามไม่ว่าจะในทางใด

แต่ในเวลานี้ การคุกคามกลับเกิดขึ้นแม้กลางวันแสกๆ

นี่ไม่ใช่อนาคตที่สว่างไสว

แต่เป็นอนาคตที่มืดมนที่คุณกำลังส่งต่อให้กับคนรุ่นต่อไป

เราขอให้หยุดการคุกคามทั้งหมดในทันที ไม่ว่าจะทางใดก็ตาม

สอดประสานกับยูนิเซฟ ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ทุกฝ่ายเคารพสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกของเด็กและเยาวชน พร้อมร่วมกันปกป้องพวกเขาจากความรุนแรงและการถูกคุกคามทุกรูปแบบ

ตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child – CRC) ซึ่งเป็นสนธิสัญญาด้านสิทธิมนุษยชนที่ได้รับการรับรองมากที่สุดในโลก ซึ่งได้รับรองสิทธิในการมีส่วนร่วมของเด็ก เสรีภาพในการแสดงออก รวมถึงการชุมนุมอย่างสันติ ทั้งนี้ ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กใน พ.ศ.2532 โดยให้คำมั่นว่าจะดำเนินการเพื่อให้เด็กๆ ได้เข้าถึงสิทธิที่พวกเขาพึงมี รวมถึงสิทธิในการมีส่วนร่วมและการแสดงความคิดเห็นอย่างสันติโดยได้รับการรับฟัง

เด็กที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ต้องได้รับการดูแลและช่วยเหลืออย่างเหมาะสมและทันท่วงที ตามกระบวนการของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชน โดยปราศจากการใช้ความรุนแรง การคุกคาม หรือการข่มขู่ทุกรูปแบบ

 

ดูเหมือน “ขบถนักเรียน” ครั้งนี้

มีแรงหนุนอย่างอุ่นหนาฝาคั่งและขยายตัวออกไปอย่างต่อเนื่อง

ซึ่งอาจไปเขย่าระบบการศึกษาครั้งใหญ่ของประเทศก็ได้

     อันจะทำให้เสียงกู่ร้อง Hey, teachers leave them kids alone ดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง