มนัส สัตยารักษ์ : ลูกผู้ชายชาติตำรวจ

 

หลังเหตุการณ์ “14 ตุลาคม 2516” สงบ มีรัฐบาลใหม่และอธิบดีกรมตำรวจคนใหม่

ผมเขียนบทความสั้นๆ ลง น.ส.พ. “สยามรัฐรายวัน” แสดงความไม่เห็นด้วยกับการแต่งตั้งนายทหาร (พล.อ.ประจวบ สุนทรางกูร) มาดำรงตำแหน่ง อ.ตร. เป็นการเขียนแสดงความคิดเห็นเชิงวิชาการในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ไม่มีถ้อยคำก้าวร้าวหยาบคายหรือแสดงอารมณ์แต่อย่างใด

ผมลงชื่อจริงและใส่ยศ “ร.ต.อ.” ไว้ด้วยความรับผิดชอบและแสดงความบริสุทธิ์ใจ บรรณาธิการจัดพิมพ์ล้อมกรอบไว้หน้าในพร้อมพาดหัวข่าวตัวเล็ก (เสียดายที่ไม่ได้ตัดเก็บไว้)

วันรุ่งขึ้น อาจารย์วสิษฐ เดชกุญชร (พล.ต.อ.) เขียนในบทนำ (หรือในหน้าบทนำ) สรุปประมาณว่า “ผู้เขียนไม่มีวินัย ควรตั้งกรรมการสอบสวน”

ในช่วงเวลานั้นผมเขียนเรื่องสั้น เป็นที่รู้จักกันเฉพาะนักอ่านในแวดวงแคบๆ มีเพื่อนเป็นนักเขียนบ้างเล็กน้อยที่โรงพิมพ์พิฆเณศกับสำนักพิมพ์โอเลี้ยง 5 แก้วของพี่อาจินต์ ปัญจพรรค์ ทั้งยังไม่เคยคิดจะเขียนคอลัมน์หรือบทความอย่างเป็นอาชีพแต่อย่างใด

จึงดีใจเหมือนได้รับการ “ปลุก” จากนักเขียนใหญ่แห่งค่าย “สยามรัฐ” ให้เป็นที่รู้จักกันมากขึ้น ผมไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองอาจารย์วสิษฐแม้แต่น้อย รวมทั้งไม่ได้คิดว่าเป็นการกล่าวโทษจากนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่แต่อย่างใด

คิดในแง่ดีว่าอาจารย์ไม่มีส่วนได้เสียจากบทความของผมและอาจจะมีแนวคิดเรื่องตำแหน่งอธิบดีเหมือนหรือคล้ายผม (อยู่เงียบๆ) เสียด้วยซ้ำ จึงหาทาง “ตีปี๊บ” ความเห็นของผมให้เป็นที่น่าสนใจแพร่หลายขึ้น

ได้ผลครับ… มีการกล่าวถึงบทความของผมในที่อื่นๆ และผู้บังคับการกองปราบปรามในขณะนั้น (พล.ต.ท.มโน สมิตะพินทุ) มีคำสั่งให้ชี้แจงข้อเท็จจริง เพื่อรายงานหน่วยเหนือตามระเบียบ

ผมรายงานชี้แจงและถ่ายสำเนาบันทึก “อนุญาต” ของปลัดกระทรวงมหาดไทย (นายพ่วง สุวรรณรัฐ) แนบไปด้วย เพราะว่าก่อนปี พ.ศ.2516 ข้าราชการจะพูด สอน แสดง และเขียนหนังสือในพื้นที่สาธารณะจะต้องได้รับอนุญาตจากปลัดกระทรวงต้นสังกัดก่อน

ผมได้ทำบันทึกขออนุญาตหรือ “ตีตั๋ว” ไว้ล่วงหน้าแล้วตั้งแต่เขียนเรื่องสั้นเรื่องแรก

ท่าน ผบก.ป. ไม่ได้ตั้งกรรมการสอบสวนหรือกล่าวโทษทางวินัย เพียงแต่พูดว่าเขียนมาหลายเรื่องแล้วไม่ได้ใส่ยศ ทำไมจะต้องมาใส่ยศเอาตอนนี้ ผมเรียนท่านทำนองว่า ก่อนนี้เป็นเรื่องสั้นอ่านเล่น แต่ครั้งนี้เป็นบทความอ่านจริง

ท่านอยากให้ผมเขียนต่อไปเรื่อยๆ แต่ขอว่าอย่าใส่ยศเมื่อวิพากษ์วิจารณ์ตำรวจ

ผมรู้สึกเสียใจไม่หายที่ไม่ทำตามคำขอของท่านผู้มีพระคุณที่ผมเคารพนับถือ

มาวันนี้ เมื่อ พ.ต.ท.เอกราช หุ่นงาม สว.อก. สภ.สลุย อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ไม่เห็นด้วยกับนโยบายห้ามประชาชนนั่งท้ายรถกระบะ จน พล.ต.ต.สนธิชัย อาวัฒนกุลเทพ ผบก.ภ.จว.ชุมพร มีคำสั่งให้ พ.ต.ท.เอกราช ทำหนังสือชี้แจง

ข้อความในเฟซบุ๊ก พ.ต.ท.เอกราช ถูกแชร์กระจายไปในสื่อโซเชียล…

“…การออกกฎหมายไม่ควรก่อให้เกิดความเดือดร้อนกับชีวิตคน ดังนั้น ควรรับฟังเหตุผลของคนทุกระดับชั้น ว่าออกแบบไหนเขารับได้หรือออกแบบไหนเขาจะเดือดร้อน…

ที่สำคัญการออกกฎหมายควรกำหนดเป้าหมายความต้องการให้ชัดเจนหลายๆ ด้าน แล้วนำมาประชุมหารือสรุปว่าจะเอาด้านไหนที่เหมาะสมที่สุด เช่น จะเอาเป็นผลประโยชน์ด้านทรัพย์สินเข้าส่วนรวม หรือจะเอาประโยชน์ด้านความปลอดภัยในชีวิตของประชาชนเป็นหลัก

เหมือนครั้งหนึ่งเคยบอกให้รวมๆ กันไปรถคันเดียวหลายๆ คนเพื่อลดรถบนถนน จราจรจะได้ไม่ติดขัดและเป็นการประหยัดน้ำมันช่วยชาติ แต่ตอนนี้ห้ามนั่งรถเกินสี่คนต่อคัน รวมถึงห้ามนั่งกระบะหลัง โดยมองถึงความปลอดภัย แต่ผมมองว่าความปลอดภัยน่าจะห้ามความเร็วมากกว่า…

ผมแค่แสดงความคิดเห็นส่วนตัวในฐานะประประชาชนคนหนึ่งเองนะครับ!!!”

ผมอ่านทวนไป-มาแล้วเห็นว่าเป็นข้อคิดและความเห็นที่ดีมีประโยชน์ รัฐบาลควรฟังและพิจารณาทบทวน ถ้าตำรวจผู้ใหญ่สรวมหัวใจ พล.ต.ท.มโน สมิตะพินทุ ที่มีความเป็นผู้นำ เป็นลูกผู้ชายตัวจริง พ.ต.ท.เอกราช ไม่ควรถูกตั้งกรรมการสอบสวน

ที่ผมถูกตั้งกรรมสอบสวนทางวินัยในเวลาต่อมานั้น เป็นเพราะได้ร่วมกับ พ.ต.ต.อนันต์ เสนาขันธ์ และ ร.ต.อ.วราสิทธิ์ สุมน เขียนและพิมพ์ “อ.ตร.อันตราย” เป็นพ็อกเก็ตบุ๊ก บางตอนมีถ้อยคำก้าวร้าวนายทหารที่มาเป็นอธิบดีกรมตำรวจจากการปฏิวัติยึดอำนาจ

เนื่องจากผู้เขียนทั้ง 3 คนมาจากต่างสังกัด ผู้สั่งตั้งกรรมการสอบสวนจึงเป็นผู้ใหญ่ในระดับกรม (โชคดีที่ผมลืมชื่อของท่านเสียสนิท)

กรรมการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้วมีความเห็นว่า “เห็นควรให้ออกจากราชการ”

แต่นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่มีอำนาจสั่งไม่กล้าสั่งให้ออกตามเสนอ และไม่กล้าลดโทษทั้งที่ต่อมา พล.ต.อ.ประจวบ สุนทรางกูร เกษียณอายุไปแล้ว

ผมต้องรอเหมือนรถติดสัญญาณไฟแดงเป็นเวลา 2 ปี จนเปลี่ยนอธิบดีอีก 2 รอบเป็น พล.ต.อ.ศรีศุข มหินทรเทพ จึงมีคำสั่งลดโทษเป็น “ว่ากล่าวตักเตือน” ด้วยเห็นว่า “เป็นข้อเขียนที่มีประโยชน์อยู่บ้าง”

ภาวนาขอให้ผู้ใหญ่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จงเป็น “ลูกผู้ชายตัวจริง” กันทุกท่าน อย่าขี้ขลาดตาขาวและเอาตัวรอดอย่างในสมัยผม