วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู / เสถียร จันทิมาธร / เปิดร่องรอย เซี่ยวอวี้ หนิงกั๋วโหว (55)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู/เสถียร จันทิมาธร

เปิดร่องรอย เซี่ยวอวี้ หนิงกั๋วโหว (55)

 

เด่นชัดแล้วว่าเหมยฉางซูพร้อมจะดับเครื่องชนกับศัตรูในเงามืดอีกรอบ นั่นก็คือเซี่ยวอวี้ แม้ว่า ณ วันนี้จะยังอยู่ในร่มเงาของคฤหาสน์ แม้ว่าจะยังมีสายสัมพันธ์อยู่กับหลายคนในตระกูลเซี่ย

หากดูจากการเคลื่อนไหวก็ต้องประเมินว่าเวลามาถึงแล้ว

“วันเวลาที่ราบรื่นทั้งซ้ายขวาของเซี่ยวอวี้เกรงว่าใกล้ถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ในเมื่อเขาเลือกข้างรัชทายาท เช่นนั้นข้าก็จะให้อวี้หวังทราบว่า ในบรรดาศัตรูที่เขาต้องต่อกรยังมีผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเสาศิลาแห่งราชสำนักอีกคนหนึ่งที่ไม่อาจปล่อยปละละเว้น”

แล้วก็หันไปกำชับกับ “ท่านสิบสาม” ซึ่งนั่งกุมมือฟังเงียบๆ มาตลอด

“ตอนปล่อยข่าวพวกท่านต้องระวังให้มาก เรื่องความมากน้อยของเนื้อความและเวลาที่เหมาะสมสำคัญที่สุด ฉินปันรั่วหลักแหลมอย่างยิ่ง อย่าได้ประมาทเด็ดขาด”

เป็นฉินปันรั่ว นักวิเคราะห์ นักวางแผนที่อยู่ข้างกายอวี้หวัง

“แม่นางฉินฉลาดเป็นที่ 1 ความคิดละเอียดรอบคอบ เจนจัดในการวิเคราะห์ ข่าว 2 ชิ้นนี้สำหรับนางนับว่าเพียงพอแล้ว น่าเสียดายที่นางเลือกเข้าข้างอวี้หวังเพื่อบรรลุถึงความปรารถนาแรงกล้าของตัวเอง ทั้งที่นางเป็นคนเก่งที่หาได้ยากคนหนึ่ง”

นั่นก็คือ ข่าวปล่อยว่าด้วยคดีรุกล้ำเมืองปินโจว นั่นก็คือ ข่าวปล่อยที่ว่าใครส่งมือสังหารไปลอบจัดการกับเซี่ยตง

 

ออกจากร้านน้ำชาทะเลไผ่ไม่นาน แม้ระยะแรกเหมยฉางซูกับเหมยจื้อแยกกันเดินทาง กลับปฏิบัติเช่นเดียวกับขามา

กระนั้น เหมยฉางซูมีบางเรื่องค้างคาเนื่องจากหยกประดับสายคาดเอวหายไป

จึงหวนกลับไปยังจุดอันแยกทางกันมา เมื่อห้อตะบึงมาถึงก็พบว่าผู้คนบางตาลงมากเนื่องจากไม่ไกลออกไปเป็นทาง 2 แพร่งล้วนทะลุถึงจวนหนิงกั๋วโหวได้ พลันได้ยินเสียงตวาดต่อสู้หลายเสียงดังแว่วมา ประสาทหูอันว่องไวดักจับได้ เหมิงจื้อไม่รอช้าพลิ้วจากหลังม้า

ทะยานสู่ยอดหลังคาตึก สะกิดเท้าทุ่มเทท่าร่างพุ่งออกไปราวเกาทัณฑ์หลุดจากแล่ง เพียงชั่วอึดใจก็บรรลุถึงจุดที่เกิดการต่อสู้

แวบแรกที่กวาดตามองต้องแตกตื่นและเดือดดาลถึงที่สุด เพราะเกี้ยวของเหมยฉางซูล้มคว่ำอยู่ข้างทาง ด้านบนถูกกระแทกหลุดเป็นชิ้นส่วน คนหามเกี้ยวและผู้ติดตามนอนเกลื่อนอยู่กับพื้น แม้แต่ทหารองครักษ์ที่ทิ้งไว้ให้ก็รวมอยู่ในนั้นด้วย

ที่กลางถนน เฟยหลิวกำลังประมือกับคนชุดเหลืองผู้หนึ่งอย่างดุเดือด เงาฝ่ามือ เงากระบี่วูบวาบก่อเกิดอานุภาพรุนแรงรอบทิศทาง

เหล่าทหารองครักษ์ต่างหมดปัญญาจะยื่นมือเข้าสอดแทรก

 

ความร้อนใจของเหมิงจื้ออยู่ตรงที่ เมื่อเหมิงจื้อเบนสายตาสอดส่ายไปโดยรอบก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเหมยฉางซู

พลันวาดลั่นถาโถมลงจากหลังคา “หัตถ์แสงสุริยัน” อันร้อนแรงกระหน่ำเข้ากลางวง

มิคาดฝ่ามือพอจู่โจม แม้ประสบผลทำให้ฝ่ายตรงข้ามถอยหลบอย่างรวดเร็ว แต่กลับสร้างความไม่พอใจให้กับเฟยหลิว ซึ่งหมุนร่างกลับพลิกฝ่ามือแฝงลมปราณพุ่งสวนมา แต่เมื่อรู้ว่าเป็นใคร ความสนใจด้านหลังของเฟยหลิวก็อยู่ที่ชายชุดเหลืองคนเดิม

ยามนั้นเหมิงจื้อขยับเท้าย้ายตำแหน่งขณะจะบุกเข้าไปตะลุมบอน พลันได้ยินเสียงร้องเรียกเบาๆ จากด้านข้าง

“พี่เหมิง” เป็นเสียงเหมยฉางซู ยืนอยู่ใต้ชายคาตึกหลังหนึ่งกำลังโบกมือไหวๆ

ในความตกตะลึง เหมิงจื้อพินิจตำแหน่งของเหมยฉางซูอีกครั้ง ที่แท้เป็นหลังคาตึกที่หยุดยืนเมื่อครู่ เพราะชายคาตึกบดบังจึงมองไม่เห็นเหมยฉางซูตั้งแต่แรก จึงพุ่งเข้าไปคว้าข้อมือเพื่อตรวจดูชีพจร พลางสำรวจตามเนื้อตัวรอบหนึ่ง

แม้ใบหน้าซีดขาวราวหิมะ ทว่าไม่ปรากฏบาดแผลใด

เหมยฉางซูชมดูเฟยหลิวประมือกับคนชุดเหลืองเงียบๆ พลันย่นหว่างคิ้วเล็กน้อย ในใจวิเคราะห์เส้นสิ้นค่อยหันหน้าประสานสายตากับเหมิงจื้อ

จากแววตาทำให้ทราบว่ามีความคิดตรงกัน ดังนั้น ขยับเท้าขึ้นก้าวหนึ่งประกาศก้อง

“แม่ทัพทั่วป๋า ท่านเป็นอาคันตุกะจากแดนไกล ทดสอบเพียง 2 กระบวนท่าก็ใช้ได้แล้ว เวลานี้ใต้เท้าเหมิงมาถึง ทุกคนมิสู้หาสถานที่นั่งลงสนทนากันมิดีกว่าหรือ”

คนชุดเหลืองเมื่อถูกเปิดโปง ประกอบกับรู้ว่าคนประฝ่ามือเป็นเหมิงจื้อ

พลันฉุกคิด หากพัวพันสู้รบจนกระทั่งเอาชนะหนุ่มน้อยนิรนามคนนี้ได้ ตนก็หาเกิดประโยชน์อันใดไม่ ดังนั้น กระโดดผละออกจากการต่อสู้

 

ไม่ว่ามองจากคนชุดเหลือง ไม่ว่ามองจากเหมยฉางซู ไม่ว่ามองจากเหมิงจื้อ ทุกอย่างมิได้เป็นความลี้ลับอะไรอีกแล้ว

แม่ทัพทั่วป๋า คือยอดฝีมืออันดับ 3 ของทำเนียบหลางหยา

คำถามก็คือ เหตุใด ทั่วป๋าฮ่าว แม่ทัพทั่วป๋าจึงยังไม่ยอมเดินทางออกจากแคว้นเหลียง คำตอบก็เพราะยังค้างคาในเรื่องประลองฝีมือ ยังสงสัยในกรณีของไป่หลีฉี

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องพิเศษ เป็นเรื่องเฉพาะ มิได้เกี่ยวอะไรกับการแย่งชิงอำนาจในแคว้นเหลียง