สูตรสำเร็จในชีวิตตามหลักพุทธศาสนา | การงดเว้นจากการดื่มน้ำเมา

สูตรสำเร็จในชีวิต (20)

การงดเว้นจากการดื่มน้ำเมา

สูตรสำเร็จข้อที่จะพูดถึงต่อไปนี้ พระพุทธองค์ทรงใช้ศัพท์ว่า มชฺชปานา จ สญฺญโม

จ มีความหมายเท่ากับ และ มชฺชปานา แปลว่า “จากการดื่มมัชชะ” สญฺญโม แปลว่า น้ำเมา หมายเอาสิ่งมึนเมาทุกชนิด เช่น สุรา (น้ำเมาที่กลั่น) เมรัย (น้ำเมาที่ไม่ได้กลั่น พวกอุ กะแช่ น้ำตาลเมา เป็นต้น อ้อ บุหรี่ ก็รวมด้วยนะจ๊ะ)

มีผู้อธิบายว่า สัญญมะ แปลว่า “สำรวม” คำว่าสำรวมหมายถึง ระมัดระวังไม่ให้เกินขนาด ไม่เกินพอดี มิได้หมายถึงการงดเว้นโดยสิ้นเชิง อย่างเช่น สำรวมตา หมายถึง เวลาดูอะไรก็ให้ดูอย่างระมัดระวัง มิใช่ห้ามดู สำรวมปาก หมายถึงให้พูดอย่างระมัดระวัง มิใช่ห้ามพูด

เพราะฉะนั้น สำรวมจากการดื่มน้ำเมา ก็หมายความว่า ดื่มได้ แต่ดื่มอย่างระมัดระวัง หรือดื่มพอประมาณ แล้วก็ยกศีลข้อห้าพร้อมคำแปลแบบนักบาลีเถื่อน (ซึ่งมีอยู่ดาษดื่นมาสนับสนุน)

สุราเมรยมชฺชปมาทฎฺฐานา…ดื่มสุราเมรัยได้ แต่อย่าดื่มจนประมาทขาดสติเป็นใช้ได้!

ไปๆ มาๆ ก็ลากบาลีเข้าหาตัว ไม่ผิดพวกนักเลงสุราคอทองแดงที่ตั้งวงก๊งกันสนุกสนาน ชูสโลแกนน่ารักว่า “สุราแปลว่าเหล้า กินกับเป็ดจะสำเร็จโสดาบัน กินกับไก่จะได้ขึ้นสวรรค์ กินกับหมูจะเข้าสู่นิพพาน กินเหล้าเปล่าๆ จะโดนไม้เท้ายมบาล”

บัญญัติคำขวัญขึ้นมาเอง ยังดีกว่าพวกบ้าที่ยกบาลีขึ้นมาแล้วแปลเอาตามชอบใจของตัว พวกหลังนี้เรียกพวกกล่าวตู่พุทธพจน์ ถ้าเป็นเรื่องหลักธรรมคำสอนที่สำคัญๆ แล้วมาบิดเบือนเพื่อให้คนหลงเข้าใจผิด นับว่าทำบาปมหันต์

ทางพุทธศาสนาถือว่า สุราเมรัยเป็น “ที่ตั้งแห่งความประมาท” คือเป็นสาเหตุให้เกิดความประมาทขาดสติ ไม่ว่าใครดื่มแล้วย่อมเมา เมาแล้วย่อมไม่มีสติสตัง ถ้าดื่มบ่อยๆ จนเป็นนิสัย ก็จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพชีวิตและทรัพย์สิน อบายมุข (ทางฉิบหาย) นั่นแหละ พูดไปทำไมให้ฟังยาก ทางที่ดีจึงไม่ควรข้องแวะ

ในสิงคาลกสูตร พระพุทธเจ้าตรัสโทษสุราไว้ชัดเจน ใครก็เถียงไม่ได้ และเป็นโทษที่ครอบคลุมเสียด้วย คือเสียทรัพย์ (ยิ่งยี่ห้อดีๆ อย่างเกล็นโมเรนจี้ยิ่งต้องเสียเงินมาก ว่างั้นเถอะ) ก่อทะเลาะวิวาท (ฆ่ากันตายกลางวงมานักต่อนัก) ทำให้เกิดโรค (เช่น โรคทางเดินอาหาร, พิษสุราเรื้อรัง), เสียชื่อ (ได้สมญาว่าไอ้ขี้เมา), สติปัญญาเสื่อม (สมองเสื่อม ความจำเลอะเลือน), ไม่รู้จักอาย (เมาแล้วทำอะไรแปลกๆ นึกว่าเป็น “มาดเฉลา” ของข้า แต่คนธรรมดาเขาทุเรศ)

ครับ คงไม่มีใครเถียงพระพุทธเจ้าว่าที่ท่านตรัสไว้นั้นผิด แต่ปัญหามีอยู่ว่า เราปฏิบัติกันได้ไหมต่างหาก หรือว่า “โนพร็อบเบล็ม”

ดังได้พูดมาแล้วว่า คำว่า มัชชะ เป็นคำรวม หมายครอบคลุมทั้งสุรา (น้ำเมาประเภทที่กลั่นแล้ว) และเมรัย (น้ำเมาที่ไม่ได้กลั่น) มีคำที่ผู้เฒ่าผู้แก่พูดไว้คำหนึ่ง ผมว่าเป็น “คำนิยาม” ที่เข้าทีดี คือ “สุราน้ำใส เมรัยน้ำข้น”

พูดถึงเมรัย เราก็นึกไปถึงแต่จำพวกกะแช่ อุเท่านั้น ความจริงเครื่องหมักดองอื่นที่กินแล้วเมาได้ เช่น น้ำตาลเมา ข้าวหมาก หมากพลู บุหรี่ ก็รวมอยู่ด้วย โดยเฉพาะบุหรี่ใครอย่ามาเถียงว่าไม่ใช่ยาเสพติด ผมเห็นคนติดบุหรี่ ไม่ได้สูบบุหรี่สักระยะหนึ่งเท่านั้น จะตายให้ได้

สิ่งเหล่านี้ ว่าตามหลักแล้ว พระสงฆ์ไม่ควรเสพ แต่ก็เห็นพระสูบบุหรี่ ฉันหมากกันเกร่อ พระธรรมเนียมไทยไม่ถือเวลาทำบุญต่างๆ มักจัดหมากพลู-บุหรี่ไว้ถวายพระกันทั้งนั้น เป็นเมืองไทยไม่สู้กระไร ถ้าไปสูบให้ชาวต่างชาติเห็นละก็ “เสียพระ” เอาง่ายๆ จะบอกให้

ที่ประเทศศรีลังกา เท่าที่ผมทราบ (ที่พูดอย่างนี้เพราะไม่เคยไป แต่รู้จากพระลังกา) ถ้าชาวบ้านเห็นพระสูบบุหรี่จะเลิกนับถือเลย เขาถือว่ามีความผิดหนัก พอๆ กับปาราชิก

ที่ประเทศอังกฤษก็เช่นเดียวกัน สมัยเมื่อครั้งพระธรรมทูตไทยไปอยู่ที่กรุงลอนดอนใหม่ๆ เจ้าคุณพระโสภณธรรมสุธี หรือมหาวิจิตร หัวหน้าพระธรรมทูต ถัดจากท่านเจ้าคุณพระธรรมธีรราชมหามุนี (สมัยนั้นเป็นพระราชสิทธิมุนี) ติดบุหรี่ขนาดหนักก่อนไปจากเมืองไทย พอไปอยู่ลอนดอน พอรู้ว่าคนที่นั่นเขาถือกันเป็นเรื่องใหญ่ท่านก็เลิกทันที

เพราะความจำเป็นบังคับ

ไอ้กระผม (สำนวนนักการเมืองดังนะเนี่ย) เป็นคนไม่สูบบุหรี่ แต่ไม่แพ้ควันบุหรี่ (คือนั่งคุยกับคนที่สูบได้ ไม่ดัดจริตเป็นลมต่อหน้าเขา) ไม่รู้ว่ามันมี “อิทธิพล” ครอบงำใจ “สิงห์อมควัน” มากขนาดไหน ดูๆ ก็ไม่น่าจะเลิกยาก แต่ถามคนที่ติดขนาดหนักแล้วเขาว่า มันเหมือน “กำแพงลม” ที่ทำลายยากเหลือเกิน

พิษสงบุหรี่ดูๆ ก็ไม่น่าร้ายกาจอะไรนักหนา แต่เวลาไม่ได้สูบแล้ว ทำไมมันจะพานตายให้ได้ บางคนขาดบุหรี่ คิดอะไรไม่ออก พอได้ “อัดเข้าปอด” สักครึ่งมวนละก็ สมองปลอดโปร่งเชียว

ภาษานักสิงห์อมควันสมัยก่อนเขาเรียกว่า “เผาหัว”

สมัยก่อนเวลาพระภิกษุสามเณรสอบสนามหลวง (คือสอบไล่บาลี นักธรรมประจำปี) ห้องสอบมักจะมีควันบุหรี่ฟุ้งยังกับมีใครเผาขยะในห้อง ไม่ใช่อะไรดอกครับ ท่านที่ติดบุหรี่จะงัดบุหรี่ออกมา “เผาหัว” ก่อน ไม่อย่างนั้นคิดอะไรไม่ออก ทำข้อสอบไม่ได้ จะพานสอบตกเอา กรรมการคุมสอบท่านเห็นใจก็เลยปล่อย

ไม่ทราบเดี๋ยวนี้ยังมีภาพอย่างนั้นอยู่หรือเปล่า แต่คิดว่ายังคงมีอยู่

ที่พระเณรท่านยังสูบบุหรี่ ฉันหมากกันอยู่ ก็เพราะสังคมไทยยังเห็นว่าสิ่งเหล่านี้มิใช่ยาเสพติด

ตอนนี้นักวิชาการท่านก็ยืนยันแล้วว่าเป็นแน่ๆ ก็ควรจะถึงเวลาที่วงการคณะสงฆ์จะประกาศห้ามพระเณรทั่วประเทศสูบบุหรี่หรือฉันหมากได้แล้วครับ

วงการแพทย์เขากำลังรณรงค์เรื่องนี้อย่างขะมักเขม้น ถ้าคณะสงฆ์ช่วยเขาอีกแรงหนึ่ง จะลดจำนวน “สิงห์ขี้ยา” ลงไม่น้อยทีเดียว

แต่ที่สำคัญ พระคุณเจ้าที่อยู่หัวแถวต้องเลิกก่อนเขานะขอรับ