อนุสรณ์ ติปยานนท์ : รักขมขื่นเดียวดาย

ปากะศิลป์ฉบับอ่านใหม่ (36)
ป่าน้ำผึ้งตอนที่ 1

“ความรักนั้นมีรสหวานในเบื้องต้น ขมขื่นในเบื้องกลาง และมีรสจืดสนิทในบั้นปลาย”

ใครบางคนที่มีอาวุโสมากกว่าเขาเคยกล่าวถ้อยคำนี้ให้เขาได้สดับยินในวัยเยาว์

ในชั้นแรกนั้นเขาหาได้แยแสหรือใส่ใจในมันไม่

ความหนุ่มที่โลดเถลิงไม่มีช่องว่างเพียงพอสำหรับถ้อยคำที่วกวน ทรงภูมิดังกล่าว

แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป เขากลับได้ยินถ้อยความนี้ชัดขึ้นทุกที

เขาพลาดรักแค่สองครั้งเท่านั้นเองในชีวิต

เพียงแค่สองครั้ง หาได้มากมายใดๆ ทว่ามันกลับทำให้เขาแก่ชราลง

ไม่ใช่การแก่ชราในฐานะร่างกาย แต่เป็นในฐานะทางจิตใจ

เขามองท้องฟ้าไม่งาม ฟังเสียงนกร้องไม่เพราะ ดมดอกไม้ไม่มีกลิ่นหอม เขาแก่ชราลงจนหมดความสนใจไยดีต่อโลกไปเสียแล้ว

ความรัก อนิจจาความรัก เขารำพึงกับตนเอง ความผิดพลาดในครั้งแรกเขาคิดว่ามันเป็นอุบัติเหตุ การเข้ากันไม่ได้ ความคาดหวังที่ไม่เป็นจริงระหว่างคนสองคน

หญิงสาวของเขาคาดหวังในความมั่นคง ส่วนเขานั้นคาดหวังในการผจญภัยและเติบโต

ทั้งคู่พยายามหาทางออกร่วมกัน พยายามหาพื้นที่ตรงกลางที่เขาทั้งสองคนจะนั่งลงร่วมกันในนั้น แต่ไม่สำเร็จ พื้นที่เหล่านั้นไม่มีจริง ไม่เคยมีพื้นที่ร่วมกันใดๆ เกิดขึ้นจากความคาดหวังที่ไม่เป็นจริง

เขาโดดเดี่ยวเดียวดายเช่นนั้นอยู่นานนับปี

 

กระนั้นความผิดหวังพลาดรักในครั้งแรกหาได้ทำให้เขาแก่ชราลง เขายังรู้สึกว่าโลกนี้ช่างเต็มไปด้วยสิ่งที่น่าค้นหา เขายังรู้สึกว่าชีวิตยังเต็มไปด้วยเส้นขอบฟ้าใหม่ๆ ให้เขาเดินทางไปถึง เขาใช้ชีวิตสมบุกสมบันดังที่ตั้งใจ ออกทะเลไปเป็นลูกเรือประมงเสียหลายปี ก่อนจะถอยไปเป็นคนงานเหมืองแร่ ขึ้นเหนือไปทำป่าไม้ ลงไปตะวันตกไปทำไร่ยาสูบ อะไรที่จะทำให้ความหนุ่มของเขาสมบูรณ์ขึ้น เขาเอาทั้งนั้น

อะไรที่จะทำให้ผิวของเขาเกรียมแดด กร้านลม เขาเอาทั้งนั้น

ไม่มีเสียหรอกความรัก เขายักไหล่เมื่อนึกถึงมัน

ยังไม่ถึงเวลา ชีวิตยังอีกยาวไกลกว่าจะตกไปอยู่ในอ้อมแขนของใครหรือโอบกอดใคร

และไม่มีเสียหรอกถ้อยคำพรรค์นั้นอย่างที่ว่า “ความรักมีรสหวานในเบื้องต้น” ความรักจะมีรสหวานหรือไม่เขาไม่แน่ใจ แต่ชีวิตเขานั้นมีรสเข้มข้น จะหวาน ขม รสใดก็ได้ แต่ขอให้มันเป็นรสเข้มข้นเกินกว่าที่ใครจะเข้าใจหรือไปถึงเป็นพอ

ก็อย่างนั้นไงเล่าที่ทำให้เขาในวันนี้ยังระเหเร่ร่อนไม่ต่างจากนกขมิ้นเหลืองอ่อนแบบที่คนเขาพูดกัน

ทุกครั้งที่เข้าเมืองหลวง กลับเข้าบ้าน เขาจะพบการ์ดเชิญในงานมงคลต่างๆ ไม่งานแต่ง ก็งานโกนผมไฟของลูกคนแรก เพื่อนร่วมรุ่นของเขาทยอยมีครอบครัว มีชีวิตใหม่

หลงเหลือเพียงเขาคนเดียวที่ยังเร่ร่อนต่อไป

พบปะกันที่ใด กับใครก็ตาม คำถามที่เขาได้ยินจนชินหูก็คือ

“ตอนนี้เขาอยู่ที่ใด และที่ไหนคือบ้านของเขาในยามนี้”

 

คําถามเหล่านั้นทำให้เขาครุ่นคิด แต่ก็เพียงชั่วขณะ วันหรือสองวัน เขาก็จะไปตามทางของเขาแบบนกขมิ้นเหลืองอ่อนสมดังปากคน

การเร่ร่อนเช่นนี้ไม่น่าทำให้เขาผูกสมัครรักใคร่กับใครได้ แต่โชคชะตาหนอ โชคชะตาเจ้ากรรมก็ทำให้เขาสมรักและพลาดรักในครั้งที่สองจนได้

บนรถไฟสายใต้เที่ยวนั้นเองที่เขาพบกับฉวี

ใจตอนแรกของเขาที่ขึ้นรถจากบางซ่อนนั้น เขาตั้งใจจะไปเพียงแค่ทับสะแก หาบังกะโลสักหลัง พักเล่นน้ำทะเลให้หายคิดถึงสักสามสี่วัน นอกจากนั้นก็อาจจะหาน้ำตาลเมาดื่มพอให้ครึกครื้น

การไปทำไร่ยาสูบอยู่ที่เมืองกาญจน์ในช่วงที่ผ่านมาทำให้เขาคิดถึงทะเล คิดถึงแมงกะพรุนที่ชอบปรากฏตัวหลังฝนตก

คิดถึงแกงหัวตาลที่หวานติดริมฝีปาก

คิดถึงคนหนุ่มเปลือยท่อนบน กำยำล่ำสัน เดินลากอวนมาตามชายหาด

คิดถึงสาวน้อยนะแน่งในชุดผ้าถุงลายดอกจำเริญตาที่กระเดียดตะกร้าขายเมี่ยงคำมาตามหาด และเขาผู้นั่งอยู่กับเครื่องดื่มมึนเมาบนระเบียงบ้านก็จะร้องตะโกนให้แม่ค้าสาวน้อยเหล่านั้นปันสิ่งของในตะกร้ามาเป็นกับแกล้มยามเหงา

เขาหวังเพียงเท่านั้น แต่การพบกับฉวีทำให้สิ่งที่เขาหวังผิดพลาดไป

 

ฉวีขึ้นรถไฟที่บ้านโป่ง เขาจำได้แม่น เพราะตอนที่ฉวีก้าวขึ้นรถไฟนั้นเขากำลังเยี่ยมหน้าออกไปทางหน้าต่างตะโกนให้แม่ค้าตรงสถานีเลือกอ้อยขวั้นมาให้สักสองถุง เขาอยากเคี้ยวอะไรหวานๆ ล้างปากหลังจากจุดบุหรี่จากกล่องบุหรี่มาตลอดทาง รสเวอร์จิเนีย ข้างกล่องเขียนแบบนั้น และถ้าเป็นรสเช่นนั้นจริง การสูบบุหรี่ไม่หยุดหลังจากที่เขาขึ้นรถไฟที่สามเสนก็ทำให้เขาคอแห้งเผือดเจียนตาย

และเมื่อเขานั่งลงเอนหลังพิงผนักอีกครั้ง เขาก็พบว่าหญิงสาวใส่หมวกปานามา กระโปรงฟูฟ่องที่เขาเห็นขึ้นรถไฟมาเมื่อครู่ได้มานั่งอยู่ตรงข้ามเขาเสียแล้ว

“ขอโทษเถอะค่ะที่ถือวิสาสะ ตรงนี้ว่างอยู่หรือไม่ ถ้าว่างดิฉันจะขอนั่งตรงนี้ ไม่นานหรอกค่ะ ถึงสะพลี ดิฉันก็จะลง”

“ยินดีครับ แต่ชุมพรน่าจะนานอยู่ ไม่ใช่ไม่นาน และถ้าคุณจะทนควันบุหรี่ได้?”

“ดิฉันไม่มีปัญหากับควันบุหรี่ และจะขอบคุณด้วยซ้ำถ้าคุณจะปันให้สูบบ้างในบางครั้ง”

 

นั่นเองที่ทำให้เขาเปลี่ยนใจไม่ลงทับสะแกตามที่หวัง หากแต่เถลไถลตามฉวีไปถึงสะพลีและทุ่งวัวแล่น ตลอดทางเขาได้รู้ว่าฉวีเป็นหลานสาวของเจ้าของที่ดินแถบนั้นผู้มีศักดิ์เป็นลุง เธอเรียนจบจากโรงเรียนการเรือนแบบฉิวเฉียดซึ่งเขาไม่แปลกใจนักหากฉวีสูบบุหรี่ได้คล่องพอๆ กับเขา

ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาติดอกติดใจกับฉวีมากกว่านั้นคือฉวีเป็นนักดื่มที่คอแข็งหาน้อยไม่ เหล้าโรงเกือบสองแบนที่ตู้เสบียง ต้มยำปลาช่อนกับใบมะขามอ่อน และยำไข่ปลาดุกทำให้มิตรภาพของทั้งคู่แนบแน่นขึ้น

แต่สิ่งที่ทำให้เขาลงรถตามฉวีอย่างไม่ลังเลคือคำเชื้อเชิญให้ไปพักพร้อมกับคำมั่นของฉวีเรื่องอาหารการกิน

“จะไปทำไมกันคุณ ทับสะแกนั่น ลงกับฉันที่สะพลีเสียก็สิ้นเรื่อง ที่นั่นทะเลสวยน้อยกว่าใครที่ไหนเล่า อีกทั้งอาหารการกินก็อุดมสมบูรณ์กว่า ตั้งแต่จบการเรือนมาฉันก็ยังไม่ได้ทำกับข้าวเลี้ยงใครให้หนำใจเลย ถ้าคุณชอบของกินพรรค์นี้ ฉันจะทำให้คุณกินเอง จะเอาต้มส้มปลากระบอกหรือจะเป็นยำปลาอกกุแรฉันก็ทำให้กินได้”

แต่การลงตามฉวีหาได้จบลงที่การเล่นน้ำทะเลและชิมฝีมือการทำอาหารของเธอ เขากลายเป็นสามีของฉวี และฉวีกลายเป็นภรรยาของเขา และทำให้เขาติดอยู่ที่ทุ่งวัวแล่นกว่าปี

เป็นหนึ่งปีก่อนที่เขาจะพลาดรักอีกครั้งหนึ่ง

 

ครั้งแรกที่เขาเลือกคนรักและมันจบลงที่ต่างฝ่ายต่างเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจกัน ครั้งที่สองนั้นเขาเลือกฉวีเพราะเขากับฉวีเหมือนกันเสียยิ่งกว่าสิ่งใด ทั้งเหล้ายาปลาปิ้ง ทั้งอารมณ์และน้ำใสใจคออีกเล่า ยามเย็นถ้าเขาเริ่มดื่ม ฉวีก็จะดื่มกับเขาจนค่ำมืด ยามเช้าพอคิดจะถอนสิ่งที่มันค้างในคอ ฉวีก็จะร่วมวงกับเขาอีก คำว่าผัวแก้วเมียแก้วเป็นจริงในคู่ของเขา ไม่มีใครแพ้ใคร เว้นแต่ทั้งคู่ ทั้งฉวีและเขาที่จะแพ้ชีวิตในที่สุด

ก็ถ้าต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยอมถอยออกจากวง ก็ใครเล่าจะเป็นผู้เลี้ยงดูครอบครัวให้เดินหน้าต่อไปได้

ความตั้งใจแรกเริ่มของเขาที่จะพักชื่นชมท้องทะเล มาจนถึงความตั้งใจที่สองที่จะพลิกฟื้นผืนดินริมทะเลให้เป็นทรัพย์ในดินล้วนสูญเปล่า แม้ลุงของฉวีจะยกที่ดินให้เขาเปล่าๆ แม้ว่าเขาจะมีใจทำให้มันเป็นไร่แตงโมที่เลื่องชื่อไม่แพ้ไร่บางเบิดของท่านชายสิทธิพร

แต่ทั้งหมดนี้มันก็เป็นหมัน จนตะวันสายโด่ง เขาก็หามีแรงจะจับจอบจับเสียมไปทำงาน ชีวิตเขากับฉวีลงเอยด้วยการเมามาย เงินเก็บที่เขามีร่อยหรอจนแทบหมดสิ้น

ติดตามมาด้วยการทะเลาะเบาะแว้งตั้งแต่เรื่องเล็กยันเรื่องใหญ่

และในที่สุดลุงของฉวีก็ขอให้ฉวีกลับกรุงเทพฯ เสียที หนึ่งปีที่สะพลีทำให้ฉวีดูทรุดโทรม แต่โทรเลขจากพ่อ-แม่ของเธอที่บอกว่าหากฉวียินดีจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ก็จะใส่ตะกร้าล้างน้ำให้เอี่ยม ฉวีรับคำขอที่ว่า บอกลาเขาอย่างไม่ไยดี

จนแม้จะลงที่สถานีรถไฟหัวลำโพงเดียวกัน เธอก็ไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมามองเขา

มีแต่เขาเพียงคนเดียวที่ส่งสายตามองเธอจนลับตา

เขาผู้อ้างว้างอยู่คนเดียวบนชานชาลา

 

จะทำอะไรได้ เขากำเงินก้อนสุดท้ายที่เหลือ ซื้อตั๋วรถไฟขึ้นเหนือ หากทางใต้ทำให้ชีวิตของเขาช้ำหนักก็เปลี่ยนทิศดูบ้างแล้วกัน ครานี้เขาเอาหมวกปิดหน้า นั่งหลับไปตลอดทาง ไม่สนใจจะเจอใครอีก จนรถไฟถึงเด่นชัยเขาถึงพาร่างบอบช้ำลงจากรถ “เข้าป่าดูทีรึเรา” เขาพูดกับตนเอง “ไปมันคนเดียวกับชีวิตขมขื่นนี่แหละ” และเขาสาบานที่จะไม่รักใครอีก

เขาสะพายของเดินดุ่มเข้าไปในหมู่บ้าน ของานทำไปทั่ว แต่น่าเศร้าที่ไม้ถูกตัดหมดแล้ว ไม่มีงานป่าไม้ให้ทำ เขานั่งหน้าเศร้าอยู่ที่ร้านเหล้าริมทาง จนชายฉกรรจ์คนหนึ่งตบบ่าของเขา

“ได้ข่าวว่าคุณจะหางาน ถ้าไม่ใช่งานป่าไม้ คุณจะสนใจทำไหม?”

เขาพยักหน้า ไม่มีทางเลือก งานอะไรก็ได้ก่อนที่เขาจะอดตาย

“ไปเก็บน้ำผึ้งกับผม ดูท่าชีวิตคุณมันจะขมขื่นเอาการ หาความหวานบ้างก็ไม่เลวนักหรอก เรียกผมว่าเจริญ คนอื่นเขาเรียกผมว่าหลวงบุเรศร หลวงบุเรศรบำรุงการ”