มนัส สัตยารักษ์ | บนถนนการเมือง

“ผมได้สั่งให้คนของกระทรวงการต่างประเทศถ่ายทอดคำพูดของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่พูดโชว์วิสัยทัศน์วิเคราะห์โลกหลังโควิด-19 ร่วมกับผู้นำนักธุรกิจระดับโลก เมื่อวันที่ 11 มิถุนายนไว้แล้ว ผมอ่านทวนถึง 2 ครั้ง… เป็นคำพูดที่มีคุณค่าลึกซึ้ง สมควรที่รัฐบาลทุกประเทศซึ่งประสบกับภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจ จะได้พิจารณานำความคิดและวิสัยทัศน์ของท่านมาเป็นแนวดำเนินการต่อไป”

ข้างต้นคือ “ร่างคำพูด” ที่ผม (ผู้เขียน) เตรียมร่างไว้เสนอ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สำหรับใช้พูดในการให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว ผมร่างไว้ล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 9 ก่อน ดร.ทักษิณพูด 2 วัน และก่อนเจ้าหน้าที่แปลเป็นภาษาไทย 1 วัน เพราะคำกล่าวนำทำนองนี้ไม่จำเป็นต้องอ้างอิงเนื้อหาที่ทักษิณพูด มันจะไม่ขัดแย้งกับเนื้อหาแน่นอน

ผมมั่นใจว่านายกรัฐมนตรีควรใช้คำพูดตามแนวที่ผมร่าง ท่านจึงจะเหมาะสมกับการเป็นนักการเมืองระดับผู้นำประเทศ

ท่านนายกรัฐมนตรีไม่ต้องกังวลใจว่าท่านจะเป็น “ผู้แพ้” ในเกมเปรียบเทียบซึ่งท่านขับเคี่ยวฝ่ายเดียวเหมือนชกลมมาตลอด ตั้งแต่วันที่ 22 เดือนพฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา

เพราะผมได้ร่างคำให้สัมภาษณ์ตอนท้ายนั้นไว้แล้วด้วย…

“พลพรรคฝ่ายค้านเรียกร้องตลอดมาให้อดีตนายกฯ ทักษิณกลับมาแก้ปัญหาวิกฤตของบ้านเมือง ผู้สื่อข่าวหลายท่านก็เห็นด้วยช่วยกันเชียร์ มาถึงวันนี้ผมก็เห็นด้วยแล้วละ…แต่การจะกลับหรือไม่กลับมันเป็นเรื่องเฉพาะตัวของคุณทักษิณ รัฐบาลยอมรับว่าหมดหนทางมากว่า 10 ปีแล้ว ก็ขอแรงพวกเราช่วยกันคิดกันหน่อยสิครับ ทำไงท่านถึงจะกลับมา”

อาจจะไม่เฉียบและขลังเท่ากับคำว่า “กลับไปนอนเถอะ-ลูก” ของรัฐบุรุษ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์

แต่ถ้า พล.อ.ประยุทธ์วางสีหน้าเรียบเฉยได้โดยไม่กราดเกรี้ยว ก็มีสิทธิ์เป็นรัฐบุรุษได้เหมือนกัน

พรรคฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลทั้งเก่าและใหม่ มีกรรมวิธี “ขุดบ่อล่อปลา” สืบทอดกันมาทุกรุ่น ไม่ว่าจะเป็นแบบบ่อลึกหรือบ่อตื้นก็ได้ผลทุกครั้ง เพราะพวกเขารู้จุดอ่อนทางจิตวิทยาของ พล.อ.ประยุทธ์ที่ถูกครอบงำด้วยปมด้อยฝังจิตฝังใจไปถึงแก่นกระดูกว่า “สู้ทักษิณไม่ได้”

คนรุ่นใหม่ของพรรคก้าวไกลและจากคณะอนาคตใหม่ค่อนข้างสันทัดจัดเจนกับเทคโนโลยียุคใหม่ ประกอบกับบาดแผลเหวอะหวะของรัฐบาลทำให้พวกเขากล้าแลกหมัด ยอมเสี่ยงถูกจับแพ้ฟาวล์ แม้ว่าการเสี่ยงจะเป็นแบบนํ้าเน่าและไร้คุณธรรมก็ตาม ประหนึ่งว่า “ไหนๆ ก็ไหนๆ ขอให้ได้สนองแค้นก็แล้วกัน”

จะเห็นได้ว่าในการอภิปราย พ.ร.ก.กู้เงิน ในส่วนของงบฯ 4 แสนล้านบาทเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ระบุว่า งบฯ นี้ได้กันไว้ให้ ส.ส.พรรค พปชร. หัวละ 80 ล้าน สำหรับใช้ในโครงการอะไรก็ได้ในจังหวัดที่ตนเป็น ส.ส.อยู่

นายพิจารณ์อภิปรายโดยไม่มีหลักฐานประกอบแต่อย่างใด ทั้งไม่เกรงกลัวต่อการถูกจับแพ้ฟาวล์ด้วย

อีกประเด็นหนึ่ง จากกรณี “การหายตัวไป” ของนายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ นักเคลื่อนไหวทางการเมืองตรงข้ามกับ คสช. ปรากฏว่าพรรคตรงข้ามกับรัฐบาล “โหนกระแส” จากกรณีนายจอร์จ ฟลอยด์ คนผิวสี เหยื่อตำรวจมินนีแอโพลิส ใช้เข่ากดคอในการจับกุม ร้องว่า “ผมหายใจไม่ออก”

ซึ่งตรงกับที่พี่สาวของนายวันเฉลิมอ้างว่าได้ยินเสียงนายวันเฉลิมร้อง “ผมหายใจไม่ออก” ทางโทรศัพท์เหมือนกัน ก่อนที่เสียงจะหายไปพร้อมกับเสียงคนพูดภาษากัมพูชา

คนของพรรคตรงข้ามรัฐบาลเรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบต่อการหายตัวไปของนายวันเฉลิม ทั้งๆ ที่ยังไม่มีข้อเท็จจริงให้เห็นว่านายวันเฉลิมหายตัวไปจริง หายเมื่อไร ที่เมืองไทยหรือที่กัมพูชา?

พร้อมกันนั้นก็พยายามหาแนวร่วมจากคนที่มีชื่อเสียงในสังคมให้ร่วมการเรียกร้องนี้ด้วย และเมื่อไม่ได้รับความร่วมมือ หรือไม่แสดงจุดยืนเข้าข้างฝ่ายตน ก็จะถูกประณามหรือถูกบริภาษอย่างรุนแรง

นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล กล่าวที่สภาและทางสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งว่า จะเสนอคณะกรรมาธิการกฎหมายของสภา เรียกตัว ผบ.ตร. ผบช.สันติบาล และอธิบดีกรมการกงสุล ให้มาชี้แจงข้อเท็จจริงด้วย

ที่ยกตัวอย่างการต่อสู้ทางการอันรุนแรงมากขึ้นข้างต้น เพื่อแสดงว่าเรามาถึงยุคที่การต่อสู้ทางเมืองเข้าสู่ภาวะสุกงอมแล้ว

ในทางการเมือง มีข่าวการปรับเปลี่ยน การเตรียมตั้งพรรคใหม่ ข่าวการจะเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค

ข่าวการจะปรับหรือไม่ปรับ ครม.

ข่าวการตั้ง กมธ.เพื่อควบคุมตรวจสอบการใช้เงินตาม พ.ร.ก.กู้เงิน

และแน่นอนว่า เบื้องหลังของข่าวเหล่านี้ ย่อมเป็นข่าวของผู้ที่จะใช้เงินจาก พ.ร.ก.ด้วย

นอกจากนั้น ก็มีข่าวไม่ค่อยสวยจากนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี รำพันว่า “คนดีๆ หายไปจากการเมือง” ซึ่งอาจจะแปลว่าคนที่เหลืออยู่เป็นคนไม่ดี

เราจะเห็นว่าทุกพรรคต่างพยายามแสดงผลงานออกอวดสายตาประชาชน พร้อมๆ กับโจมตีฝ่ายตรงข้ามไปด้วย ต้องยอมรับว่าทางฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลทำตรงนี้ได้ดีกว่าในระดับหนึ่ง

ฝ่ายรัฐบาลสร้างภาพดีขึ้นบ้าง เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์หยุดพูด ซึ่งหมายถึงหยุดกราดเกรี้ยวใส่ประชาชนไปด้วย ประกอบกับประเทศไทยได้รับคำยกย่องชมเชยจากทั่วโลก กรณีต่อต้านการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นผลสำเร็จ

แต่แล้วนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ก็มาทำให้ภาพของรัฐบาลและของนายกรัฐมนตรีกลายเป็น “ลบ” เสียอย่างไม่ควรจะเป็น

นายสุภรณ์ ฉายา “แรมโบ้อีสาน” ซึ่งภาพลักษณ์และพฤติกรรมที่ผ่านมาไม่เป็นที่น่านิยมนัก ได้กล่าวให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า “ผลสำรวจประชาชน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำงานดีมาก นายกรัฐมนตรีทำงานดีมาก นายกฯ ในดวงใจคนไทยทั้งประเทศ!”

“มุ่งมั่นในการพัฒนาประเทศ พูดจริงทำจริง ชัดเจน มีความซื่อสัตย์สุจริต กล้าตัดสินใจ ตั้งใจจริง และพร้อมจะช่วยเหลือประชาชน ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ว่าประชาชนเห็นนายกฯ ตั้งใจทำงาน ทุ่มเทอย่างเต็มที่สุดความสามารถ เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน อีกทั้งเป็นผู้นำมือสะอาด ไม่มีข้อกล่าวหาใดๆ ในเรื่องการทุจริต นี่คือเสียงชื่นชมและยอมรับสูงสุดจากประชาชนคนไทย”

สื่อทุกสายกล่าวว่า “แรมโบ้อวยไส้แตก” ส่วนผมไม่ถึงกับไส้แตก แค่อ้วกแตกเท่านั้น เพราะเพียงคำแรกที่ว่า “ผลสำรวจประชาชน” ผมก็ตีค่าคำพูดทั้งหมดของนายสุภรณ์ว่าเป็นเท็จแล้ว

นายสุภรณ์ไม่มีหน้าที่และไม่มีหน่วยงานสำรวจความคิดเห็นประชาชน และประชาชนก็คงไม่ยอมให้นายสุภรณ์มาสำรวจ…คำพูดทั้งหมดของนายสุภรณ์คือการยกเมฆ

ขอความกรุณาคนใกล้ชิด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถ้าได้อ่านบทความนี้ ให้ย้อนกลับขึ้นไปอ่านพารากราฟแรกอีกครั้งครับ


พิเศษ! สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์, ศิลปวัฒนธรรม และเทคโนโลยีชาวบ้าน ลดราคาทันที 40% ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิ.ย. 63 เท่านั้น! คลิกดูรายละเอียดที่นี่