“ท็อปบู๊ต” ไร้สัญญาณถึง ตร. ยิงเลเซอร์ “ตามหาความจริง” รวบรวมหลักฐานรอ “เช็กบิล”?

คํ่าคืน 10 พฤษภาคมที่ผ่านมา กลุ่มคนจำนวนหนึ่งออกมาแสดงเชิงสัญลักษณ์ ด้วยการฉายข้อความผ่านแสงเลเซอร์ ในสถานที่สำคัญต่างๆ เช่น อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย, วัดปทุมวนาราม, แยกราชประสงค์, กระทรวงกลาโหม และบางจุดยังมีการฉายภาพเหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อเดือนพฤษภาคม 2563 พร้อมกับระบุข้อความผ่านแสงเลเซอร์ว่า “ตามหาความจริง”

ภาพดังกล่าวถูกเผยแพร่ลงโซเชียลมีเดีย ทำให้ประชาชนเกิดความสนใจ จนเป็นกระแสฮิตติดเทรนด์ทวิตเตอร์ตลอดทั้งวัน

เป็นที่ทราบกันว่า ในเดือนพฤษภาคมของทุกปี กลุ่มคนเสื้อแดงจะออกมารำลึกและร่วมไว้อาลัยให้กับผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมตามสถานที่สำคัญต่างๆ

แม้รำลึกกันมากเท่าไหร่ หลายคดีกลับยังไม่มีความคืบหน้า ผู้สูญเสียยังไม่ได้รับความเป็นธรรม ทำให้ครบรอบ 10 ปีสลายการชุมนุมนี้ มีรูปแบบการแสดงออกที่เปลี่ยนไปเป็นการฉายเลเซอร์

คาดว่านำรูปแบบมาจากต่างประเทศ ใช้คนน้อย แต่มีแรงกระเพื่อมมากกว่า

ต้องยอมรับว่าปรากฏการณ์เชิงสัญลักษณ์ด้วยการฉายข้อความและภาพผ่านแสงเลเซอร์ สร้างความฮือฮาได้พอสมควร

โดยที่กำแพงวัดปทุมวนาราม มีการฉายภาพเหตุการณ์เสียชีวิตของ น.ส.กมลเกด อัคฮาด หรือเกด พยาบาลอาสา 1 ใน 6 ผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมกลุ่ม นปช.ที่วัดปทุมวนาราม เมื่อเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ร่างของเธอมีกระสุนฝังอยู่ถึง 11 นัด รวมทั้งที่ศีรษะ

ภายหลังการเสียชีวิตของ น.ส.กมลเกดนั้น นางพะเยาว์ อัคฮาด ผู้เป็นมารดา ได้เดินหน้าเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับบุตรสาว

แต่ผ่านไปนานกว่า 10 ปี ความล่าช้ากระบวนการยุติธรรมยังไม่สามารถนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษได้

โดยเฉพาะการไต่สวนการตายของศาลอาญากรุงเทพใต้ ชี้ชัดว่าผู้เสียชีวิตบริเวณวัดปทุมวนาราม ถูกทหารยิงเสียชีวิต และไม่พบเขม่าดินปืนหรืออาวุธจากฝ่ายผู้เสียชีวิต เหตุใดจึงยังไม่สามารถนำตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีได้

ล่าสุดเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม นางพะเยาว์ได้เดินทางไปที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เพื่อติดตามทวงถามความคืบหน้าของคดี

ดีเอสไอชี้แจงว่าต้องส่งเรื่องให้ศาลทหาร เพราะคดีเกี่ยวข้องกับทหาร 8 นาย และอัยการศาลทหารมีคำสั่งไม่ฟ้องเมื่อปลายปี 2562 เพราะเห็นว่าพยานหลักฐานไม่เพียงพอ ซึ่งอยู่นอกเหนืออำนาจของดีเอสไอ

อย่างไรก็ตาม หากมีพยานหลักฐานเพิ่มเติม ก็สามารถส่งฟ้องคดีต่อศาลได้ หากคดียังไม่หมดอายุความ

นี่เป็นเพียงเสี้ยวเหตุการณ์ความสูญเสียจากการสลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 มีอีกหลายครอบครัวที่หวังพึ่งกระบวนการยุติธรรม แต่ยังไร้สัญญาณ

และยังไม่ได้รับความกระจ่างจากเหตุการณ์ครั้งนั้น

ลําแสงเลเซอร์ครั้งนี้สะเทือนไปทั้งวงการตำรวจ-ทหาร

พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ระบุว่า หนึ่งในสถานที่ที่ถูกยิงเลเซอร์คือ กระทรวงกลาโหม ไม่ทราบวัตถุประสงค์ของผู้ดำเนินการว่าทำเพื่ออะไร แต่คาดว่าน่าจะทำกันเป็นขบวนการ และนำไปขยายผลเผยแพร่ในโซเชียลมีเดีย เพื่อต้องการให้นึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ในอดีต ทำให้เกิดความเข้าใจผิดกับสังคม

การทำเช่นนี้มองว่ามีนัยทางการเมืองแอบแฝงของคนกลุ่มนั้นๆ มุ่งหวังให้เกิดความเข้าใจผิดต่อสถาบัน และองค์กร ซึ่งฝ่ายความมั่นคงกำลังติดตามพิจารณาทางกฎหมายอยู่ เพื่อตามหาผู้กระทำผิด

มีการวิเคราะห์กันว่า การให้สัมภาษณ์โฆษกกระทรวงกลาโหม เหมือนส่งสัญญาณบางอย่างให้ตำรวจหรือไม่

ด้าน “คณะก้าวหน้า” ออกมายอมรับว่าทำเคมเปญนี้ และไม่ต้องตามหาใครอีกต่อไป เพราะเป็นเรื่องที่ประชาชนกำลังร่วมกันตามหาความจริง

ขณะที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. เรียก พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. พล.ต.ต.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.สันติ ชัยนิรามัย ผบก.สส.บช.น. พล.ต.ต.เมธี รักพันธ์ ผบก.น.6 เข้าร่วมประชุมกำหนดทิศทางการดำเนินคดีและการให้ข่าวกับสื่อมวลชนเรื่องนี้

แน่นอนการประชุมครั้งนี้ไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าบันทึกภาพ

ผบ.ตร.ได้ส่ง พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. ให้ข้อมูลว่า เท่าที่ทราบในช่วงเดือนพฤษภาคมมีผู้ที่ต้องการให้สังคมเกิดความสับสนหรือนำเรื่องของคดีความที่ถึงที่สุดแล้วมาเล่าให้ประชาชนฟังใหม่ ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างให้ฝ่ายกฎหมายพิจารณาความผิดที่เกิดขึ้น

พร้อมฝากผู้ที่ทำ อยากให้ไปดูการกระทำสุ่มเสี่ยงกฎหมายด้วย

ส่วนที่พรรคการเมืองหนึ่งออกมาแถลง ว่าอยู่เบื้องหลังวิดีโอการยิงเลเซอร์นั้น รองโฆษก ตร.บอกว่า การพิสูจน์ทราบการกระทำความผิด เจ้าหน้าที่ตำรวจมีข้อมูลอยู่แล้ว กำลังให้ฝ่ายกฎหมายไปพิจารณาอย่างถี่ถ้วนใครกระทำความผิด ผิดกฎหมายใดบ้าง ดำเนินการตามขั้นตอนปกติ เหมือนกับการกระทำความผิดอาญาทั่วไป แม้ว่าจะมีผู้ที่ออกมายอมรับว่าลงมือกระทำความผิดแล้ว เจ้าหน้าที่จะฟ้องใครต้องมีหลักฐานอื่นมาประกอบด้วย

ลำพังแค่คำให้การและคำรับสารภาพนั้นไม่พอ

ต่อมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบให้ พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น.ไปดูแล

ซึ่งเจ้าของรหัส “น.1” บอกว่า ยังไม่มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความร้องทุกข์ เบื้องต้นจะเป็นลักษณะความผิดส่วนบุคคลเกี่ยวกับการทำให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญ ไม่ใช่ความผิดต่อรัฐ เจ้าหน้าที่จึงไม่สามารถดำเนินคดีได้ การสืบสวนสอบสวนทราบถึงรถยนต์ที่กลุ่มบุคคลดังกล่าวนำมาใช้ อยู่ระหว่างพิสูจน์ทราบผู้ร่วมกระทำผิดทั้งหมด ยังระบุไม่ได้ว่าเป็นกลุ่มการเมืองเก่าหรือกลุ่มใหม่ ส่วนข้อความหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะตรวจสอบว่าเป็นข้อมูลที่บิดเบือนหรือไม่

ผ่านไปกว่า 2 สัปดาห์ น่าแปลกใจข่าวนี้จากกระบอกเสียงของ “สีเขียว” ค่อนข้างจะเงียบลง ไร้สัญญาณใดๆ ส่งมาถึง “สีกากี”

ไม่มีใครวางใจเรื่องนี้จะปล่อยให้เป็นเพียงคลื่นกระทบฝั่ง ทิ้งความจริงให้เงียบหายไปเอง