ธงทอง จันทรางศุ | สุรา วัด และเรื่องเล่า “ขนมไม่มี”

ธงทอง จันทรางศุ

เหตุการณ์โรคระบาดโควิด-19 ที่เกิดขึ้นทั่วทั้งโลกในเวลานี้ มีผลข้างเคียงหลายอย่าง

แน่นอนว่าความเดือดร้อนและความจำเป็นที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของผู้คนทั้งหลายที่ได้รับความกระทบกระเทือนย่อมเป็นเรื่องที่ต้องเยียวยาแก้ไขกันต่อไป

แต่สำหรับผมซึ่งอายุย่างเข้าเขตวัยชราแล้วการมีเวลาหยุดนิ่งอยู่กับบ้านนานถึงเกือบสองเดือน ทำให้ผมมีเวลามองเมืองไทยและมองโลกด้วยความพินิจพิจารณามากกว่าเวลาปกติ ที่ตัวเองมีธุระต้องไปโน่นมานี่จนไม่มีเวลานั่งอยู่กับที่จริงๆ เสียที

เรื่องที่จะปรารภต่อไปนี้จึงเป็นมุมมองเล็กๆ ของคนที่เกษียณอายุราชการแล้วนั่งมองความเป็นไปที่เกิดขึ้นรอบตัว

เรื่องแรกเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ก่อนวันที่ผมจะเขียนหนังสือเรื่องนี้เพียงไม่กี่วัน คงจำกันได้นะครับว่าทางราชการได้ประกาศห้ามขายเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มานานร่วมหนึ่งเดือน

ผมสดับตรับฟังจากสื่อออนไลน์ทั้งหลายก็พอรู้อยู่ว่ามีคนบ่นพึมพำอยู่ในใจหลายคนง

พอถึงต้นเดือนพฤษภาคมทางราชการอนุญาตให้มีการซื้อขายเครื่องดื่มที่ว่าได้ ภาพคนจำนวนมากกลุ่มรุมกันอยู่แย่งซื้อเบียร์ซื้อเหล้าจากร้านขายสินค้าชนิดนี้เป็นภาพที่ผมคาดไม่ถึง

คงเป็นเพราะความรู้ของผมในเรื่องนี้ไม่เพียงพอจริงๆ

ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าคนไทยเราบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากถึงขนาดนี้ ก็เคยได้ยินคนเขาพูดกันอยู่ว่าอันดับการดื่มเครื่องดื่มสุรายาเมาของเรานั้นติดอยู่ในลำดับต้นๆ ของโลก

แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสองสามวันที่ผ่านมานี้ดีกว่าการไปทำสถิติอย่างเป็นทางการเป็นไหนๆ เพราะผมเชื่อแน่ว่าจะไม่มีประเทศใดอีกแล้ว ที่คนจะแย่งกันซื้อเหล้าซื้อเบียร์ขนาดนี้

ผมเพิ่งตระหนักว่าผมเป็นประชากรส่วนน้อยของประเทศ ผ่านเหตุการณ์นี้ไปแล้วคงต้องพิจารณาตัวเองใหม่แล้ว

เหมือนอย่างที่โบราณท่านบอกว่าเข้าเมืองตาหลิ่วให้หลิ่วตาตาม

กินข้าวมื้อกลางวัน มื้อเย็นแล้วก็ต้องล่อเหล้าสักกรึ๊บหนึ่ง พอให้ครึ้มอกครึ้มใจ ชะดีชะร้ายจะเขียนหนังสือคล่องกว่านี้เสียอีก

ดูข่าวเรื่องอื่นประกอบเข้าด้วยก็จะพบว่า คนไทยมีความสุขก็ดื่มเหล้า ยิ่งมีความทุกข์ยิ่งต้องดื่มเหล้าใหญ่ เหล้าจะได้ช่วยดับทุกข์ให้คลายลง

ส่วนเรื่องอนาคตภายหน้าจะเป็นโรคตับแข็ง หรือไปขับรถชนกันตายกลางถนนเพราะเมาเหล้าจนขับรถเป๋ไปเป๋มา อันนั้นก็เป็นเรื่องของคนอื่นก็ต้องดูแลแก้ไข เรามีหน้าที่ดื่มก็ดูแลอย่าให้บกพร่องก็แล้วกัน

ที่พูดอย่างนี้ เพราะพอเข้าใจแล้วว่าคนจำนวนไม่น้อยคิดอย่างนี้จริงๆ เหมือนกัน ไม่ได้พูดเล่นด้วยความคะนองปากแบบผม

หน่วยงานอะไรที่มีตัว ส.เสือเยอะเยอะติดกันหลายตัว ยังมีงานต้องทำอีกมาก ถ้าเป็นเด็กสมัยนี้ก็ต้องบอกว่า สู้ สู้ นะตัวเอง

เดินหน้าออกจากร้านขายเหล้าแวะไปดูเรื่องของวัดวาอารามต่างๆ บ้างสิว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

สิ่งที่น่าชื่นใจคือวัดวาอารามหลายแห่งยังคงเป็นที่พึ่งของคนตกทุกข์ได้ยากเหมือนอย่างที่วัดได้ทำหน้าที่อย่างนี้มาตั้งแต่โบราณกาล

ในอดีตวัดของเราเป็นสถานที่สาธารณะที่ทำหน้าที่หลายอย่าง นอกเหนือจากเป็นที่ทำบุญกุศลแล้ว วัดยังเป็นโรงเรียนสอนหนังสือ เป็นสถานีอนามัย เป็นสถานสงเคราะห์คนตกทุกข์ได้ยาก เป็นโรงแรมสำหรับคนเดินทาง เป็นโรงทานสำหรับคนไม่มีกิน ตลอดไปจนถึงการเป็นสถานสงเคราะห์สัตว์ไม่ว่าจะเป็นหมาแมวหรือปลาที่มาประชุมกันอยู่ในลำคลองหน้าวัดก็ตาม

เมื่อเกิดสถานการณ์โรคระบาดขึ้นครั้งนี้ คนจำนวนไม่น้อยที่เป็นผู้หาเช้ากินค่ำ เงินออมที่อยู่ในกระเป๋าก็ไม่มีแม้สักแดงเดียว ย่อมเกิดความเดือดร้อนขึ้นมาฉับพลันทันที

ด้วยพระดำริในเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช โปรดให้วัดที่มีกำลังช่วยเหลือดูแลในเรื่องนี้

ผมติดตามข่าวสารก็ได้พบภาพและได้ยินเรื่องโดยความชื่นใจว่าวัดทั้งในพระนครและต่างจังหวัดจำนวนไม่น้อยได้ดำเนินการสนองพระดำริในเรื่องนี้และทำกันเป็นเรื่องเป็นราว โดยได้รับความสนับสนุนจากญาติโยมอีกจำนวนมาก ระดมมาช่วยกันทั้งแรงกายและแรงทรัพย์

นอกจากการตั้งโรงทานหรือการแจกอาหารการรับประทานในวัดวาอารามทั้งหลายแล้ว

ยังมีการปฏิบัติในแนวทางใกล้เคียงกันในอีกหลายสถานที่หลายวาระ เรื่อยไปจนถึงต่างประเทศ

ผมเห็นภาพข่าวจากประเทศออสเตรเลีย ในเมืองซิดนีย์ซึ่งเป็นเมืองขนาดใหญ่ มีร้านอาหารไทยแห่งหนึ่งตั้งโต๊ะแจกอาหารอยู่ด้านหน้าร้านของตัวเองมีคนมารับอาหารแต่ละมื้อจำนวนเรือนร้อย

มีทั้งฝรั่ง คนต่างชาติต่างภาษา และคนไทยที่ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนอยู่ในวัยเรียนหนังสือ

ถ้าเป็นคนไทยก็สังเกตง่ายครับ เพราะยกมือไหว้ก่อนจะรับกล่องอาหารไป

ค่าใช้จ่ายในการปรุงอาหารที่วัดในเมืองไทยก็ดี ที่หลายคนทำมาแจกตามสถานที่ชุมชนต่างๆ ก็ดี หรือที่ร้านอาหารไทยในต่างประเทศทำมาแจกให้คนได้มีข้าวกินก็ดี ล้วนแต่เป็นค่าใช้จ่ายที่ควักเนื้อตัวเองกันมาทั้งสิ้น ไม่ได้งบประมาณอุดหนุนจากหน่วยงานใดโดยเฉพาะ

ทำเพราะหัวใจเรียกร้องให้ทำ ทำเพราะคนไทยมีหัวใจอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร

เห็นแล้วก็มีแต่ความชื่นใจและอนุโมทนาสาธุในบุญกุศลของทุกคน

จริงอยู่ว่าในวันแรกๆ ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องของการเตรียมการที่จำเป็นเกี่ยวข้อง เช่น การเว้นระยะห่าง การจัดแถวเป็นลำดับก่อนหลัง การรักษาสุขอนามัย แต่ผ่านไปเพียงแค่วันสองวันเมื่อทางราชการเข้ามารับรู้และช่วยดูแล เรื่องที่เคยขลุกขลักมาก่อนก็คลี่คลายไปได้

คนที่มีกินมาตลอดทุกมื้อ เข้าใจไม่ได้ง่ายนะว่าความหิวคืออะไร

มีเรื่องเล่าตั้งแต่สมัยพุทธกาลว่า เจ้าชายหลายองค์ในสกุลศากยะ เคยทำบุญและอธิษฐานพระทัยไว้แต่ในอดีตชาติว่า เกิดมาชาติใดฉันใดขออย่าได้อดอยากเลย

พอมาเป็นเจ้าชายเข้าในชาตินี้ ชีวิตก็อุดมสมบูรณ์ อาหารการเสวยไม่เคยขาดแคลน

วันหนึ่งทรงสนทนากับพระชนกชนนี พระชนกถามว่ารู้ไหมว่าข้าวที่เสวยนั้นเกิดขึ้นจากที่ใด

ต่างองค์ต่างตอบไปคนละทางสองทาง บ้างก็ว่าเกิดขึ้นในยุ้งฉาง บ้างก็ว่าเกิดขึ้นในครัวหรือห้องเครื่อง บ้างก็ว่างอกออกมาจากจานจากหม้อข้าวเอง เพราะไม่เคยมีองค์ใดเคยเห็นการทำไร่ไถนาเลย

พระชนกตั้งพระทัยจะสอนบทเรียนสำคัญกับพระโอรส จึงสั่งมหาดเล็กว่า มื้อหน้าให้นำชามเปล่ามีฝาปิดไปถวาย อย่าใส่อาหารอะไรไปในนั้นเป็นอันขาด เมื่อนำไปถวาย เจ้าชายรับสั่งถามว่าในชามมีอะไร มหาดเล็กจึงทูลว่า “ไม่มี”

ระหว่างนั้นเองเทวดาบนสวรรค์รู้ความเข้า ก็รีบเสกขนมเข้าไปไว้ในชาม เพื่อไม่ให้คำอธิษฐานในอดีตต้องเสียผลไป

ลงท้ายเมื่อเจ้าชายทรงเปิดชามขึ้นมา กลับทรงพบขนมอยู่ในชาม ขนมนั้นหน้าตาแปลกเพราะไม่เคยเสวยมาก่อนและอร่อยมากด้วย เสวยเสร็จแล้ว เจ้าชายไปเฝ้าพระชนนีและทูลว่า “ขนมไม่มี” อร่อยเหลือเกิน

เรื่องมันโอละพ่อเสียเช่นนี้

เรื่องเล่าเรื่องนี้มีคติแฝงอยู่มาก แต่ผมไม่กล้าบอกหรอกครับว่า ใครควรจะอ่านเรื่องนี้บ้าง

รู้แต่เพียงว่า ในเมืองไทยของเรา คนที่ไม่มีจริงๆ นั้นมีอยู่มาก

และเวลานี้กำลังเดือดร้อนแสนสาหัส ช่วยกันดูแลประคับประคองให้ผ่านวันคืนที่ยากลำบากครั้งนี้ไปด้วยกันเถิดครับ