บทความพิเศษ : ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’ เรียนรู้คุก (11) ห้องเยี่ยมญาติ-ดอกไม้ในคุก

ห้องเยี่ยมญาติ

ใครไม่ติดคุกคงไม่มีวันรู้สึก เวลาเดียวที่มีความหมายระหว่างถูกจำกัดอิสรภาพภายใต้กำแพงปูน คือ การได้พบญาติพี่น้องที่ห้องเยี่ยม

แม้จะถูกจำกัดเวลาเพียงแค่ 20 นาทีต่อครั้งต่อวัน แต่ถือเป็นความสุขอันยิ่งใหญ่ที่นักโทษทุกคนเฝ้ารอ

ญาติบางคนอยู่ต่างจังหวัดต้องเสียเวลาเดินทาง เสียเวลาทำงานเพื่อมาเยี่ยม เพราะไม่ใช่ว่าจะเยี่ยมได้ทุกวัน

ส่วนนักโทษนั้นว่างอยู่แล้ว เมื่อใดก็ตามที่เรือนจำประกาศชื่อเรียกเพื่อเยี่ยมญาติ ทุกคนจะกระปรี้กระเปร่า กระชุ่มกระชวยขึ้นมาทันใด และจะไม่ยอมพลาดโอกาสนี้ไป

เพราะเป็นช่วงเวลาเดียวที่จะได้พบหน้าคนในครอบครัวที่เขารัก

บริเวณด้านนอกห้องเยี่ยมญาติมีร้านสวัสดิการของเรือนจำที่ใช้หารายได้ส่วนหนึ่ง ขายทั้งอาหารสด อาหารแห้ง เครื่องใช้ในการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเป็น สบู่ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน เหมือนกับเซเว่นอีเลฟเว่น แต่ไม่ได้มาตรฐานเท่า

ความวุ่นวายจะเกิดขึ้นตั้งแต่เช้า บรรดาญาติๆ ต้องมาจองคิวเข้าเยี่ยม ของกินต่างๆ ถูกซื้อจนหมดภายในระยะเวลาสั้นๆ

ส่วนภายในห้องกระจกเสริมลูกกรงที่กั้นระหว่างโลกภายนอกคุกกับโลกภายในคุก นักโทษทุกคนจะกระวนกระวายชะเง้อคอรอพบญาติพี่น้อง สามี ภรรยา

เมื่อได้พบกันเสียงตะโกนทักทายดังโหวกเหวก บ้างยิ้มแย้มแจ่มใส บ้างร้องห่มร้องไห้ เป็นแบบนี้ทุกวัน

ช่วงเวลาสั้นๆ ที่นักโทษได้หลีกหนีจากโลกของความซ้ำซากจำเจสุดแสนจะน่าเบื่อในคุก ออกมาพูดคุยกับครอบครัวที่รักจากโลกภายนอก เรื่องราวต่างๆ พรั่งพรูจากญาติมาสู่นักโทษ

ญาติบางคนปิดบังเรื่องจริงที่เศร้าสลด ไม่ว่าใครข้างนอกเสียชีวิตไป หรือเมียหนีไปแล้ว เหล่านี้มักไม่เล่าให้คนข้างในฟัง สรรหาแต่เรื่องดีๆ มีความสุขมาพูด

เมื่อเสียงกริ่งสิ้นสุดเวลาเยี่ยมดังขึ้น นักโทษจำต้องกลับไปสู่โลกของความจริงที่ซ้ำซากจำเจ ไม่มีวันใดแตกต่างไปแม้แต่วันเดียว จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี ญาติบางคนยังคงมาเยี่ยมอย่างสม่ำเสมอ

ในขณะที่บางคนเริ่มห่างหาย แม้กระทั่งเมียอันเป็นที่รัก ทุกคนล้วนมีธุระหน้าที่การงานต้องทำ

ผ่านไป 10 ปี คนภายนอกหายไปจนหมด นักโทษถูกลืมทิ้งไว้เบื้องหลังเพราะวงล้อของกาลเวลา โลกภายนอกเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน ในขณะที่ภายในมันหยุดนิ่ง ไม่มีข่าวสาร ไม่มีความยินดียินร้ายต่อสิ่งใด

มีแต่ความว่างเปล่าวนเวียนอยู่ในความมืดมิดไม่มีที่สิ้นสุด

“เมียหายไปแล้ว เลี้ยวไปไหนก็ไม่รู้ เธอหายไปเลย” เมื่อนักโทษคนหนึ่งต้องติดคุกอยู่เพียง 2 ปี จากโทษที่ต้องรับคือ “ตลอดชีวิต” เป็นเรื่องยากที่ผู้หญิงคนใดจะทนรอชีวิตที่จบสิ้นภายในคุก ทั้งที่ตนเองยังมีลมหายใจอยู่ในโลกภายนอก “ลูกก็หายไป แต่งงานแล้วหรือยังก็ไม่รู้”

จริงๆ แล้วนักโทษไม่รู้อะไรเลย แม้ภายในใจยังจดจำความหวังในอดีต ทั้งจะได้ประกันตัวหรือชนะคดี แต่เมื่อมาถึงสุดทาง ศาลอ่านคำพิพากษา ทุกอย่างก็จบสิ้นลง

อย่าโกรธเขาเลย ญาติอาจจะเบื่อ เมียคงทนรอไม่ไหว เวลา 10-20 ปี มันนานเกินไป ชีวิตคนเราอาจไม่ได้ยืนยาวขนาดนั้นเสียด้วยซ้ำ เวลาของนักโทษหยุดลงตั้งแต่เข้ามายืนอยู่ภายหลังลูกกรง จะถูกทอดทิ้งวันนี้หรือวันไหนมันก็เหมือนกัน

ทุกคนต้องรับสภาพความเป็นจริงที่ว่า ไม่มีใครอื่นใดเหลืออยู่เลยยกเว้นตัวเอง

ห้องเยี่ยมญาติปิดในเวลาบ่าย 3 โมง นักโทษที่ทำผิดวินัยอาจถูกงดเยี่ยมญาติเป็นเวลา 3 เดือน

นักโทษบางคนไม่เคยมีญาติมาเยี่ยมเลย

ในขณะที่บางคนมีญาติมาเยี่ยมทุกวัน

ความแตกต่างของนักโทษรวยหรือจนวัดได้จากตรงนี้

หากนักโทษคนใดไม่มีญาติมาเยี่ยมเท่ากับไม่มีเงิน ไม่มีใครเอา

แต่หากนักโทษคนใดมีญาติมาเยี่ยมบ่อยๆ มีของกินทุกวัน เพื่อนนักโทษจะห้อมล้อมเอาใจ ช่วยถือของขะมักเขม้น

เป็นสิ่งเดียวที่โลกภายนอกคุกกับโลกภายในคุกมีเหมือนๆ กัน

ดอกไม้ในคุก

เรื่องอภิรมย์ในคุกนั้นช่างมีอยู่น้อยนิด การเอาชายฉกรรจ์กว่าห้าพันคนมาอยู่รวมกันภายใต้กำแพงสี่เหลี่ยมโดยไม่ได้เห็นผู้หญิงสักคนเป็นปีๆ ย่อมเป็นเรื่องผิดธรรมชาติ

“กะเทย” จึงเป็นเสมือนดอกไม้ที่ผุดขึ้นมาท่ามกลางทะเลทรายอันแห้งแล้ง

ในคุกแบ่งกะเทยออกเป็น 2 ประเภท

ประเภทแรก ยังไม่แปลงเพศ แบ่งย่อยได้เป็น ทำนมแล้วจำพวกหนึ่ง ยังไม่ทำนมอีกจำพวกหนึ่ง

ส่วนประเภทที่สอง แปลงเพศแล้ว อันถือเป็นเพชรในตม เป็นของหายาก

กะเทยในคุกเป็นไปตามหลักเศรษฐศาสตร์ เมื่อเป็นของหายากจึงเกิดการแย่งชิงจนถึงขนาดมี “ศึกชิงนาง (กะเทย)” เกิดขึ้นบ่อยครั้ง

เรือนจำจึงมีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดเป็นระเบียบไว้สำหรับกะเทยที่เข้ามาใหม่ มิเช่นนั้นนักโทษชายทั้งหนุ่มทั้งแก่ชราจะต้องมีเรื่องทะเลาะวิวาทถึงขนาดตีรันฟันแทงกันเพราะแย่งกะเทยไม่เว้นแต่ละวัน

เรือนจำจะจัดให้กะเทยที่แปลงเพศแล้วแยกออกไปจากแดน

โดยให้ไปอยู่ในสถานพยาบาลเพื่อรอส่งตัวไปยังเรือนจำที่มีห้องขังแยกต่างหากสำหรับกะเทยแปลงเพศโดยเฉพาะ

อาจส่งมาที่เรือนจำคลองเปรมซึ่งเป็นเรือนจำขนาดใหญ่ มีแดนสำหรับควบคุมกะเทยแปลงเพศ

ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าทุกอย่างในคุกไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบ โดยมากล้วนขาดแคลน ดังนั้น ของอะไรที่พอใช้ได้ก็เอาเป็นว่าต้องใช้ไปก่อน

หนึ่งในนั้นคือกะเทย

การจะได้กะเทยมาเป็นคู่ครองนอนเคียงข้างไม่ใช่ไอ้เป๋อไอ้ป๋องที่ไหนก็ทำได้

นักโทษที่อยากได้ต้องมี “สินสอด” เสนอให้กับกะเทย สินสอดที่ว่าไม่ใช่เงินทองเหมือนอย่างโลกภายนอก แต่เป็นสิ่งที่ใช้แทนเงินตราในคุก เช่น บุหรี่ นมกล่อง หรือซื้อกับข้าวให้วันละกี่ถุงก็ว่ากันไป

แต่อย่าคิดว่าเมื่อมาอยู่กันแล้วจะต้องกินข้าวด้วยกันอย่างคู่ผัวตัวเมีย เพราะกะเทยอาจไปรวมกลุ่มแยกไปกินข้าวช่วงกลางวัน แล้วขึ้นห้องขังถึงจะมาอยู่ด้วยกัน

ในแต่ละแดนเมื่อมีกะเทยเข้ามาใหม่ เรือนจำจะจัดไปอยู่ในห้องขังต่างหากหรืออาจไปขังรวมกับห้องคนแก่ที่ไม่ไหวแล้ว

หากนักโทษจะเอากะเทยมาร่วมเรียงเคียงหมอนอยู่ในห้องของตัวเองจะต้องมีราคาที่ต้องจ่าย จะเจรจาต้าอ้วยกับท่านผู้คุมว่าดูแลกันอย่างไรก็ว่ากันไป

เพราะถึงวันจำแนกแยกย้ายแดนเป็นอำนาจสูงสุดของที่ประชุมผู้บัญชาการในการเลือกให้นักโทษคนใดไปอยู่แดนไหน

เมื่อจัดการย้ายกะเทยที่หมายปองเข้ามาอยู่ห้องเดียวกันได้สำเร็จ เวลามีอะไรกันในห้องขังที่เปิดไฟตลอดเวลาท่ามกลางเพื่อนนักโทษกว่าสามสิบสี่สิบคนที่นอนเรียงรายอยู่ข้างๆ

คุณอาจสงสัยว่าเขาจะทำกันอย่างไร?

วิธีการไม่ยาก กางเต็นท์เล่นผีผ้าห่ม แต่หากเป็นช่วงกลางวันที่ปล่อยออกจากห้องขังก็ไปหลบกันอยู่ใต้ราวตากผ้า ล็อกใครล็อกมัน ในคุกเรียกว่า “เปิดโรงแรม”

แต่อย่างว่าละครับ ชีวิตคู่ไม่ว่าในคุกหรือนอกคุกก็มีช่วงข้าวใหม่ปลามัน อยู่กันไปนานๆ เข้าก็มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันตามประสาผัวเมีย

บางทีเลี้ยงดูกันไม่เต็มที่ คบกันได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง

หรือบางทีพบว่าแอบนอกใจมีคนใหม่ที่ให้มากกว่า

เมื่อถึงจุดจบเลิกกันแล้วก็ต้องประกาศให้นักโทษคนอื่นรับรู้ ที่เคยเห็นเจ๋งๆ คือ ให้ผู้คุมประกาศหน้าแถวว่าคู่นี้เลิกกันแล้ว ใครจะรับเซ้งต่อเชิญติดต่อได้เลย

ในคุกมันไม่มีความลับ ปิดอะไรกันไม่ได้ เพราะไม่มีทางจะหลีกลี้หนีหน้าไปไหน สู้ประกาศให้เคลียร์กันไปเลยไม่ต้องไปนั่งฟ้องหย่าให้เสียอารมณ์ผิดใจมองหน้ากันไม่ติด

เพราะหากคิดถึงตอนรักหวานชื่น พบกันใหม่ๆ ไปสู่ขอจัดสินสอด นมกล่อง 20 แพ็ก กรองทิพย์ 10 แถว มาม่า 2 ลัง จัดงานเลี้ยงให้แขกเหรื่อมาร่วมงานพิธีเป็นที่ฮือฮาไปทั่วแดน

แม้ไม่ใช่โต๊ะจีนอย่างโลกภายนอกแต่ก็สั่งแกงถุงจากร้านค้าสงเคราะห์มาตั้ง 50 ถุง

แม้ไม่มีเหล้าเบียร์แต่ก็มีเป๊ปซี่เลี้ยงไม่บกพร่อง

จนถึงเวลาส่งตัวเข้าเรือนหอ ก็ยังมีบรรดาเพื่อนๆ นักโทษร่วมส่งคู่บ่าวสาวไปใต้ราวตากผ้าอันสุดแสนโรแมนติกด้วยการยักคิ้วหลิ่วตาอนุญาตของท่านผู้คุม

บรรยากาศราวตากผ้านั้นไม่ใช่จะใช้กันง่ายๆ เพราะปกติเป็นที่สาธารณะที่ทุกคนจะต้องไปตากผ้าร่วมกัน แต่ในวันแต่งงานท่ามกลางแสงแดดเปรี้ยง ราวตากผ้าทุกเส้นถูกคลุมไว้ด้วยผ้าห่ม

ส่วนพื้นคอนกรีตใต้ราวที่ร้อนระอุถูกปูด้วยฟูกบางๆ ที่ยกลงมาจากเรือนนอน

นี่แหละสวรรค์ของคนคุก

เรื่องราวของคู่ผัวตัวเมีย (กะเทย) ไม่ได้จบกันง่ายๆ เพราะหากเปรียบกับโลกภายนอกแล้วไม่ได้แตกต่างกันเสียเท่าไหร่ ตอนอยู่ด้วยกันมีทั้งหึงหวงตบตี แม้ว่าตอนเมียเลี้ยว (มีคนใหม่) ก็ยังประชดประชันว่า “มึงมีผัวใหม่ได้ กูก็มีเมียใหม่ได้เหมือนกัน”

ในคุกกะเทยไม่ไร้เท่าใบพุทรา แดนนี้ไม่มียังไปหาเอาจากแดนอื่นจนได้ แล้วค่อยทำเรื่องย้ายแดนหรือย้ายห้องขัง

ที่แปลกประหลาดแต่เป็นเรื่องจริงเกินกว่านิยายเรื่องใดๆ คือ ตอนเข้าคุกใหม่ๆ เป็นผู้ชายอกสามศอก แต่พอติดคุกไปนานๆ กลับค้นพบตัวเองว่าแท้จริงใจเป็นหญิง เขียนคิ้ว ทาปาก ค่อยๆ เปลี่ยนจนนักโทษถึงขนาดตบเข่าฮา “กูว่าแล้วไหมล่ะ”

“เจ๊สวย” ตอนเข้ามาใหม่ๆ เป็นทหารพรานร่างกายกำยำกล้ามเป็นมัด ติดคดีฆ่าคนตายเข้ามาอยู่ในคุก

อยู่ไปอยู่มากลับค้นพบตัวเองว่ามีใจรักเป็นกะเทย ทำท่าทางตุ้งติ้งโดยไม่ผ่านการอบรมใดๆ ใจมันพาไปเอง

เจ๊สวยไปได้ผัวเป็น “เฮียซ้ง” ขาใหญ่ประจำแดน อยู่กินกันจนกลายเป็นคู่ผัวเมียตัวอย่างที่ใครๆ ในสังคมคุกกล่าวยกย่องถึงรักมั่นคงของทั้งคู่

แต่วันหนึ่งหลังจากผ่านไปหลายปีเหมือนสวรรค์กลั่นแกล้ง ฟ้าผ่าเปรี้ยงลงกลางหัวใจ เมียเก่าเจ๊สวยสมัยที่แกเป็นผู้ชายอยู่โลกภายนอกดันมาตีเยี่ยมผัวตัวเองทั้งที่หายหน้าหายตาไปหลายปี หลังจากเจ๊สวยมาติดคุกโดนตัดสินตลอดชีวิต พอติดไปได้ 2 ปี เมียแกเลี้ยวหายไปพร้อมลูกชายวัย 7 ขวบ คงตั้งใจจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับชายอื่น

แต่เมื่อลูกร้องหาพ่อด้วยความคิดถึงจึงพาลูกมาเยี่ยมพ่อที่คุก

พอเจ๊สวยเห็นใบตีเยี่ยมปรากฏชื่อเมียตัวเอง หัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม หน้าซีดเผือดทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะออกไปเจอลูกเมียยังไง

คืนนั้นเจ๊สวยร้องไห้สะอึกสะอื้นตัดสินใจไม่ออกไปพบหน้าลูกเมีย เพราะไม่แน่ใจว่า การที่แกถูกเมียเลี้ยวไปมีผัวใหม่ กับการที่เมียมาเห็นผัวตัวเองแปรสภาพกลายเป็นกะเทย ใครจะรับใครไม่ได้กันแน่

วันเวลาในคุกทำให้คนเปลี่ยนแปลงไปเกินกว่าจะคาดเดา

ทุกคนที่ติดคุกไม่สามารถปิดบังตัวตนที่แท้จริงได้ วันใดวันหนึ่งต้องเผยธาตุแท้ออกมา

โลกภายนอกนั้นเต็มไปด้วยสิ่งปรุงแต่งและซ่อนเร้น แต่สำหรับในคุกนั้นนักโทษไม่สามารถปรุงแต่งอะไรได้เลย

แม้กระทั่งจิตใจของตัวเอง