สแกนจุดอ่อน! “บิ๊กป้อม”กลางศึกรอบทิศของ“บิ๊กตู่” กับภารกิจร้อนๆ วัดฝีมือ“บิ๊กเจี๊ยบ”และความหวังของ ตท.18

สองพี่น้องทหารเสือฯ บูรพาพยัคฆ์ ทั้ง บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม กลายเป็นเป้าของการถูกจับตามองและโจมตีของฝ่ายตรงข้ามเสมอมา

บางครั้งก็ถูกตอกลิ่มให้หวาดระแวงขัดแย้งกันเอง เพื่อสลายความแข็งแกร่งของรัฐบาลทหาร และ คสช.

บางครั้งก็โดนด้วยกัน เช่น การตกเป็นเป้าในการถูกลอบทำร้าย หลังมีการจับกุมอาวุธสงคราม เครือข่าย “โกตี๋” ที่ถูกอีกฝ่ายหนึ่งมองว่าเป็นการจัดฉาก

เพื่อที่จะปูความคิดของผู้คนว่า บ้านเมืองยังไม่สงบ มีอาวุธสงคราม และมีความพยายามในการก่อเหตุ สร้างสถานการณ์รุนแรง เพื่อที่ พล.อ.ประยุทธ์ และ คสช. จะได้อยู่ต่อ และยื้อการเลือกตั้งออกไป

หรือแม้แต่การเดินทางไปประชุม รมว.กลาโหมอาเซียน ที่ฮาวาย ก็ยังโดนเล่นงานจน พล.อ.ประวิตร ทำรัฐบาล คสช. เกือบซวนเซ

แม้แต่เรื่องการตั้งบรรษัทพลังงานแห่งชาติ และ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม ที่มีเข้าใจกันว่า มีเป้าหมายที่จะให้ทหารมาคุมพลังงานทั้งหมด เพื่อความมั่นคง โดยเล็งไปที่กรมพลังงานทหาร ของกระทรวงกลาโหม ที่ พล.อ.ประวิตร คุมอยู่

จนมีการย้อนอดีตกลับไปคิดถึงปั๊มน้ำมัน “สามทหาร” ก่อนที่จะพัฒนามาเป็น ปตท.

จน พล.อ.ประวิตร ต้องสยบข่าวลือด้วยการยืนยันว่า เป็นไปไม่ได้ และตนเองก็ไม่มีปัญญาที่จะทำขนาดนั้น และไม่ได้ต้องการย้อนอดีตไปสู่ยุคปั๊มสามทหาร เพราะเราก้าวมาไกลแล้ว วันนี้ ปตท. เป็นบริษัทมหาชนแล้ว รัฐบาลและ คสช. ไม่เคยมีแนวคิดนี้ ส่วน พล.อ.ประยุทธ์มองว่าเป็นการฝันเฟื่อง เพราะทหารก็คงไม่สามารถไปทำแบบนั้นได้ และรัฐบาลไม่เคยคิด

แต่พร้อมๆ กับคำว่า “สามทหาร” ที่ในอดีตหมายถึงทหารสามเหล่าทัพ ทบ. ทร. และ ทอ. แต่ก็กลับกลายมาตะแบงคิดกันว่า “สามทหาร” คือ 3 ป. บูรพาพยัคฆ์ ก็คือ “ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์” ไปโยงกับบรรษัทพลังงานฯ ที่จะให้ทหารมาดูแล

แม้แต่มาทำเรื่องสามัคคีปรองดอง พล.อ.ประวิตร ก็ถูกจับตามองว่า ไปแอบมี “ดีล” กับนักการเมือง พรรคการเมือง เพื่อเตรียมจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง และปูทางสู่การมีนายกฯ ทหาร ที่มีชื่อของ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร เป็นตัวเลือก

จน พล.อ.ประวิตร ต้องออกมาประกาศว่า “ไม่เคยมีดีลอะไรกับใคร” แต่ดูเหมือนกระแสข่าวนี้จะยังไม่หยุด

ไม่ว่าจะขยับซ้าย ขยับขวา ก็โดนไปหมด เช่นนี้ จึงอาจมีส่วนทำให้ พล.อ.ประวิตร เกิดอาการน้อยใจ ถึงขั้นที่พูดออกตัวว่า “ผมมันสมองน้อย ผมมีจุดอ่อนเยอะ ไม่มีจุดแข็งเลย ผมมันไม่เก่งเหมือนคนอื่นเขา”

เสมือนเป็นการตัดพ้อจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ค่อนแคะ ไม่ใช่แค่จากนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล คสช. เท่านั้น แต่บางครั้งก็มาจากคนกันเอง

เพราะไม่ว่า พล.อ.ประวิตร จะพูดอะไร ทำอะไร ขยับตัวอะไร ก็โดนจับตามอง ถูกวิพากษ์วิจารณ์ตลอด จนกลายเป็น “ตำบลกระสุนตก” หรือ “สายล่อฟ้า” ในรัฐบาลและ คสช.

ในฐานะที่เป็นพี่ใหญ่ในรัฐบาล คสช. และบูรพาพยัคฆ์ ที่มากบารมี จึงมักจะถูกแอบอ้างชื่อเสมอๆ

ถึงขั้นที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องประกาศกร้าว จะจัดการกับคนที่อ้างชื่อ “ผมและรองนายกฯ ประวิตร” ไปหาผลประโยชน์ โดยเฉพาะคนใกล้ชิด หรือคนรู้จักของคนใกล้ชิด

โดยเฉพาะในวงการสีกากี ที่ตกเป็นข่าวเสมอๆ ที่ พล.อ.ประวิตร เคยออกตัวในวงตำรวจ ว่ามีคนอ้างชื่อในการโยกย้ายตำรวจ แต่ตนเองไม่เคยรู้เรื่อง

“ผมก็บอกลูกน้องที่ทำงานกับผม ใกล้ชิดผมเลยว่า ถ้าใครเอาชื่อผมไปแอบอ้าง ผมจะไม่ให้อยู่ด้วย” บิ๊กป้อมลั่น

จนทำให้ทุกครั้งที่จะมีการปรับคณะรัฐมนตรี ก็จะมีแรงสะกิดสะเกา พล.อ.ประยุทธ์ ให้กล้าปรับพี่ชายที่แสนดี สุดที่รักคนนี้ ที่เป็นเสมือนจุดอ่อนของรัฐบาล ออกไป

แต่รู้กันดีว่า ไม่มีวันที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะทำเช่นนั้น รัฐบาล คสช. ต้องมี 3 ป. ทั้ง ป.ป้อม พล.อ.ประวิตร ป.ป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ และ ป.ประยุทธ์ พล.อ.ประยุทธ์ ร่วมหัวจมท้ายกันไป

“ก็มีนักการเมืองเค้าบอกว่า ปรองดองของผมมีจุดอ่อนตรงนั้นตรงนี้ ก็ผมก็คิดเอง ผมคิดได้เท่านี้ ก็ผมสมองน้อย ไม่เก่งเหมือนคนอื่นเขา มีจุดอ่อนเยอะ ไม่มีจุดแข็งเลย” พล.อ.ประวิตรย้ำ

แต่ทว่า ทั้งหมดนั้นเป็นแค่บททดสอบความเชื่อใจกันของสามทหารเสือฯ พี่น้องที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมายาวนานกว่า 40 ปี แบบที่ไม่มีอะไรมาทำให้ผิดใจกันได้

แม้หลายครั้งที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องอาศัยการเป็นนายกฯ และหัวหน้า คสช. ขอเป็นคนตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ด้วยตนเอง แทน พล.อ.ประวิตร

โดยเฉพาะการจัดวางตัวแม่ทัพนายกองในกองทัพ แม้ว่า พล.อ.ประวิตร จะเป็น รมว.กลาโหม ก็ตาม โดยเห็นกันมาแล้ว ในการโยกย้ายปลายปี 2559 ในการเลือก ผบ.ทบ. ผบ.ทอ. และแม่ทัพภาคที่ 1

แม้จะรู้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ วางตัวใครเป็น ผบ.ทบ. แล้วก็ตาม…แต่คนเราอยู่ได้ด้วยความหวัง

แม้ว่าเก้าอี้ ผบ.ทบ. ของ พล.อ.เฉลิมชัย จะดูมั่นคง แต่ทว่า ในบรรดาเตรียมทหารรุ่น 18 ต่างก็ยังมีความหวังว่า บิ๊กเข้ พล.อ.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ ผช.ผบ.ทบ. แกนนำรุ่น และประธานรุ่น อาจได้ลุ้นเป็น ผบ.ทบ. ในปีสุดท้ายก่อนเกษียณกันยายน 2561

ไม่ใช่แค่เพราะหน้าตาของ พล.อ.เทพพงศ์ ดูสดใสขึ้นในระยะหลังๆ นี้เท่านั้น แต่บรรดาเพื่อน ตท.18 ก็ดูคึกคักกันมากขึ้น

เพราะหาก พล.อ.เฉลิมชัย เป็น ผบ.ทบ. ยาว 2 ปี จนเกษียณปีหน้า ก็จะเป็นการส่งตัวแบบข้าม 4 รุ่น จาก ตท.16 ไปสู่ ตท.20 เลย เพราะเล็งกันว่า บิ๊กแดง พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 แกนนำ ตท.20 ถูกวางตัวให้เป็น ผบ.ทบ. ในอนาคตอันใกล้

หาก พล.อ.เฉลิมชัย นั่ง 2 ปี พล.ท.อภิรัชต์ ก็จะขยับขึ้นมารับไม้นั่งเก้าอี้ “ทบ.1” ต่อพอดี ด้วยอายุราชการถึงปี 2563

แต่หาก พล.อ.เฉลิมชัย ขยับไปเป็น ผบ.ทหารสูงสุด ในโยกย้ายปลายปีนี้ เพื่อเปิดทางให้ พล.อ.เทพพงศ์ ขึ้น ผบ.ทบ. 1 ปี แล้ว ก็จะเป็นจังหวะจาก ตท.16 มา ตท.18 ก่อนที่จะไป ตท.20

เพราะลำดับรุ่นเตรียมทหารของ ผบ.ทบ. ในอดีตนั้น จาก ตท.10 บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็น ผบ.ทบ. 2 ปี ก็ส่งต่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ ตท.12 นั่งยาว 4 ปี แล้วต่อด้วย บิ๊กโด่ง พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ตท.14 อีก 1 ปี และซ้ำด้วย ตท.14 อย่าง บิ๊กหมู พล.อ.ธีรชัย นาควานิช อีก 1 ปี แล้วมาถึง พล.อ.เฉลิมชัย ซึ่งเป็น ตท.16

เพราะถ้ามองไปใน ทบ. แล้ว ก็มี ตท.18 ที่ขึ้นมาเป็นแม่ทัพภาค รองรับ ทั้ง บิ๊กตี๋ พล.ท.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3 และ บิ๊กอาร์ท พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4

โดยทั้งคู่ก็ถือเป็นเพื่อนรักกัน เพราะนอกจากเรียนมาด้วยกันแล้ว ยังรับราชการในกองทัพภาคที่ 3 ที่ค่ายเอกาทศรถ พิษณุโลก ด้วยกัน นอนบ้านหลังเดียวกันอยู่หลายปี ก่อนที่ พล.ท.ปิยวัฒน์ มาเติบโตในสายทหารการข่าว ทำงานให้หน่วยรบพิเศษ และลงไปอยู่ชายแดนภาคใต้ ส่วน พล.ท.วิจักขฐ์ ทหารม้านักรบ ยังคงเหนียวแน่นในภาคเหนือ

และ บิ๊กอ้อม พล.ท.วีรชัย อินทุโศภน ผบ.หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน (ผบ.นรด.) น้องรักสายบูรพาพยัคฆ์ ของ พล.อ.ประวิตร ที่เป็น ตท.18 แถมมีอายุราชการถึง 2562

นอกจากนี้ ยังมี พล.ท.ธนา จารุวัตร แม่ทัพน้อยที่ 3 บิ๊กหมอ พล.ท.คุณวุฒิ หมอแก้ว แม่ทัพน้อยที่ 4 และ บิ๊กเอก พล.ท.จิรชัย โมกขะสมิต เจ้ากรมการทหารช่าง พล.ท.สิทธิพล ชินสำราญ ผบ.รร.นายร้อย จปร.

พล.อ.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์

ที่สำคัญ ตท.18 หรือ จปร.29 นี้ เป็นลูกศิษย์รุ่นแรก ที่ได้เรียนกับสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ที่ทรงเป็นทูลกระหม่อมอาจารย์ สอนที่โรงเรียนนายร้อย จปร.

โดยที่ พล.อ.เทพพงศ์ ถือเป็นลูกศิษย์รุ่นแรก คนแรกที่ได้ขึ้นเป็นแม่ทัพภาค เมื่อครั้งเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 เมื่อปีที่แล้ว

พอมาปีนี้ พล.ท.วิจักขฐ์ และ พล.ท.ปิยวัฒน์ สองเพื่อนเกลอ ก็ขึ้นมาเป็นแม่ทัพภาคที่ 3 และแม่ทัพภาคที่ 4

พล.ท.วิจักขฐ์ ถือเป็นนายทหารม้า ที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกป๋าอีกคนหนึ่ง ที่นานๆ จะได้เติบโตขึ้นมาถึงจุดนี้ โดยเขาเคยเป็น ผบ.ม.พัน 14 ในค่าย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่น้ำพอง ขอนแก่น

ส่วน พล.ท.ปิยวัฒน์ ก็เป็นน้องชายของ พล.อ.ธีรชัย นาควานิช องคมนตรีและอดีต ผบ.ทบ.

แต่เพราะชะตาฟ้ากำหนดไว้แล้ว เพราะ พล.อ.เฉลิมชัย อายุน้อย เกิดเดือนตุลาคม จึงได้นับอีก 1 ปี จึงเกษียณ 2561 พร้อมกับ พล.อ.เทพพงศ์ ที่เป็นรุ่นน้อง ตท.18 แต่เกษียณเท่ากัน

จึงไม่แปลก ที่ไม่ว่าวันไหน พล.อ.เทพพงศ์ ก็จะท่องคาถาในใจที่ว่า “ชะตาฟ้ากำหนดไว้แล้ว ว่าใครจะเป็นอะไร”

แม้ว่าบรรดานายทหารในสายทหารเสือราชินี ที่โตมาจาก ร.21 รอ. และบูรพาพยัคฆ์ที่ โตมาจาก พล.ร.2 รอ. จะให้กำลังใจ พล.อ.เทพพงศ์ กันแบบเงียบๆ ก็ตาม

แต่ทุกคนรู้ดีว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ในการชี้ชะตา พล.อ.เทพพงศ์ น้องรักที่เห็นกันมาตั้งแต่เป็นนายทหารเด็กๆ

บ้างก็ว่า ด้วยสถานการณ์ที่ยังไม่ปกติก่อนหน้านี้ จึงอาจมีส่วนสำคัญที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ เลือก พล.อ.เฉลิมชัย ขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ. เพราะเหมาะกับสถานการณ์ที่ต้องมีทั้งบู๊และบุ๋น

รวมถึงสถานการณ์ในเวลานี้ และในอนาคตอันใกล้ด้วย อาจทำให้ พล.อ.เฉลิมชัย ยังเป็นนายทหารที่เหมาะสมที่จะคุมกำลังรบหลักอย่าง ทบ. และทำหน้าที่เลขาธิการ คสช. ด้วย

แม้จะมีประโยคที่ว่า พล.อ.เฉลิมชัย ที่โตมาจากสายทหารรบพิเศษ จะมาแบบพิเศษๆ ในสถานการณ์พิเศษๆ ก็ตาม

จนทำให้คนใน ทบ. เชื่อกันว่า ด้วยความพิเศษ จะทำให้ พล.อ.เฉลิมชัย ได้นั่งเป็น ผบ.ทบ. ยาว 2 ปี

ไม่นับรวมเสียงร่ำลือที่ให้จับตามองอนาคตอันใกล้ของ พล.อ.เฉลิมชัย แบบไม่กะพริบตาอีกด้วย

//

ยิ่งถ้าดูจากบทบาทหน้าที่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ มอบหมายให้ พล.อ.เฉลิมชัย นอกเหนือจากเลขาธิการ คสช. และ รอง ผอ.รมน. ด้วยแล้ว ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำความสำคัญ

ทั้งการที่ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคณะอนุกรรมการร่างข้อเสนอเพื่อสร้างสามัคคีปรองดอง หรือร่าง “สัญญาประชาคม” ที่แม้ พล.อ.เฉลิมชัย จะออกตัวว่าไม่ใช่งานถนัด แต่ก็สบายใจที่มีนักวิชาการเก่งๆ มาช่วย

ก็เพราะ พล.อ.เฉลิมชัย เป็นนายทหารรบพิเศษ อาจเรียกได้ว่า เป็นนักรบ เป็นสายบู๊ แต่ต้องมาทำงานสายบุ๋น

โดยเฉพาะการมาช่วยรัฐบาลเคลียร์ปัญหาการต่อต้านโรงไฟฟ้า และการทำแหล่งพลังงานในภาคใต้ ด้วยการให้เป็นประธานคณะกรรมการสร้างการรับรู้และความเข้าใจในพลังงานในภาคใต้ ที่ถูกมองว่าเป็นเสมือน “เผือกร้อน”

“ไม่มีอะไรร้อนเลย ผมรับได้หมด” พล.อ.เฉลิมชัยระบุ

แถมทั้งก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ ก็เคยมอบหมายให้ พล.ท.อภิรัชต์ ช่วยเคลียร์ปัญหากับกลุ่มต่อต้านโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ ที่บุกมาประชิดทำเนียบรัฐบาลมาแล้ว

อีกทั้ง ตั้งแต่ พล.อ.เฉลิมชัย ขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ. นั้น ก็ทำงานแบบที่เรียกว่า “สายตรง” กับ พล.ท.อภิรัชต์ ตลอด จนถูกมองว่าเป็นการเตรียมพร้อมที่จะให้ พล.ท.อภิรัชต์ ขึ้นมาเป็น เสธ.ทบ. คู่ใจ พล.อ.เฉลิมชัย ในโยกย้ายปลายปีนี้ ที่จะต้องขยับจากแม่ทัพภาคที่ 1 ขึ้นเป็น พลเอก ห้าเสือ ทบ. ที่คาดกันว่าจะเป็น เสธ.ทบ.

เนื่องจาก เสธ.ทบ. จะนั่งควบเก้าอี้เลขาธิการ กอ.รมน. ด้วย เพื่อที่ พล.ท.อภิรัชต์ จะได้สานงานต่อ เพราะ กอ.รมน. ก็ใช้ทำงานการเมืองได้

แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ในยุคเปลี่ยนผ่านเช่นนี้ ทหารสายวงศ์เทวัญ ที่เติบโตมาจากหน่วยทหารรักษาพระองค์ ใน พล.1 รอ. มาแรง เตรียมมารับดูแลกองทัพ โดยเฉพาะ ทบ. ต่อ

จาก ผบ.ทบ. สายรบพิเศษ ก็มาสู่สายวงศ์เทวัญ ที่คาดกันว่า พล.ท.อภิรัชต์ จะเป็น ผบ.ทบ. ต่อ

ประมาณว่า ผบ.ทบ. ในสเป๊กของ พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องเป็นทหารสายบู๊เป็นหลัก แต่ก็ทำงานสายบุ๋นได้ด้วย

ส่วน พล.อ.เทพพงศ์ มาดนิ่งเงียบ ใจดี แม้จะเป็นนักรบ ผ่านตำแหน่งคอมแมนด์มาตลอด แต่ก็ดูเป็นสายบุ๋น ที่อาจจะต้องขยับข้ามไปเป็นปลัดกลาโหม ในโยกย้ายในอีกไม่กี่เดือนนี้ก็ตาม

ปล่อยให้ พล.อ.เฉลิมชัย นำกองทัพบก และกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย ดูแลสถานการณ์ที่ยังไม่มีใครรู้ว่าจะมีเลือกตั้งหรือไม่ หรือหลังเลือกตั้งแล้วจะเป็นอย่างไร

แต่กระนั้น ความหวังยังตลบอบอวลอยู่เสมอ…