ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24 - 30 มีนาคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
บรรดาผู้นำชาติสมาชิกสหภาพยุโรปรวมตัวกันที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี ในวันที่ 25 มีนาคมนี้ ประกาศถึง “อนาคตที่มีร่วมกัน” เพื่อฉลองครบรอบ 60 ปี การลงนาม “สนธิสัญญาโรม” จุดเริ่มต้นที่นำไปสู่การรวมตัวกันเป็น “สหภาพยุโรป” อย่างที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้
ผู้นำประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป 27 ชาติจะฉลอง “วันเกิด” ท่ามกลางวิกฤต “เบร็กซิท” ที่ถือเป็นเมฆหมอกปกคลุม “อียู” นับตั้งแต่ชาวอังกฤษลงประชามติตัดสินใจแยกตัวออกจากอียูเมื่อปีก่อน
แน่นอนว่า “เทเรซา เมย์” นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ซึ่งอยู่ระหว่างการเตรียมกระบวนการให้อังกฤษออกจาก “อียู” ตามมาตรา 50 ของ “สนธิสัญญาลิสบอน” จะไม่ได้เข้าร่วมงานที่จัดขึ้นในอาคารเก่าแก่ในยุคศตวรรษที่ 16 ซึ่งเคยใช้เป็นสถานที่ลงนาม “สนธิสัญญาโรม” ในวันที่ 25 มีนาคม 1975 เพื่อสร้างยุโรปขึ้นอีกครั้งจากเถ้าถ่านของ “สงครามโลกครั้งที่ 2”
นอกจาก “เบร็กซิท” ที่เป็นความท้าทายหลักที่อียูต้องเผชิญหลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 60 แล้ว ยังคงมีปัญหาอีกมากมายที่รุมเร้าอยู่ไม่ว่าจะเป็นวิกฤต “ผู้อพยพ” “ก่อการร้าย” “ประชานิยม”
รวมไปถึงปัญหา “หนี้ยูโรโซน” ที่ยังคงคาราคาซังอยู่
กลุ่มผู้นำอียูจะได้รับเชิญเป็นแขกพิเศษของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ที่นครรัฐวาติกัน ในวันที่ 24 มกราคม ก่อนที่จะรวมตัวกันที่ “ปาลาซโซ เดอ คอนเซอร์วาทอรี” เพื่อประกาศว่า “ยุโรปอันเป็นอนาคตร่วมกัน” ในโลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และประกาศแผนระยะเวลา 10 ปี
ผ่านไป 60 ปี “อียู” ยังคงมีสัญญาณของความตึงเครียดระหว่างกัน โดยเฉพาะประเด็นสำคัญใน “คำประกาศ” ที่ระบุไว้ว่าประเทศสมาชิกอียู สามารถมีความร่วมมือด้วย “ย่างก้าวและความเอาจริงเอาจังที่แตกต่างกัน” ได้
โดนัลด์ ทัสก์ ประธานคณะมนตรียุโรป ระบุไว้ในจดหมายเชิญว่า งานฉลองในครั้งนี้จะเป็น “โอกาสที่จะเฉลิมฉลองประวัติศาสตร์ร่วมกัน และประเมินผลของการรวมตัวในระยะเวลา 60 ปี”
ทัสก์เตือนถึงภูมิศาสตร์ทางการเมืองที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรที่เอาแน่เอานอนไม่ได้อย่าง “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐ หรือการดำเนินนโยบายปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศอย่างแข็งกร้าวของ “รัสเซีย”
ยิ่งกว่านั้นการเลือกตั้งในฝรั่งเศส ซึ่งผู้นำพรรคขวาจัดอย่าง มารีน เลอเปน ได้รับแรงสนับสนุนเพิ่มขึ้น รวมไปถึงการเลือกตั้งในเยอรมนี ก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเวลานี้ “สหภาพยุโรป” กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ
“ไม่ใช่ความลับอีกต่อไปที่ในช่วงเวลาประวัติศาสตร์ที่เรากำลังเผชิญในเวลานี้ จำเป็นต้องมีการตอบสนองต่อความท้าทายต่างๆ เพื่อสหภาพมีความเป็นหนึ่งและลึกซึ้งมากกว่านี้” ทัสก์ อดีตนายกรัฐมนตรีโปแลนด์ระบุ
ย้อนกลับไปเมื่อ 60 ปีก่อน มีเพียง 6 ชาติอย่าง เบลเยียม ฝรั่งเศส อิตาลี ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ และเยอรมนีตะวันตก ที่รวมตัวกันเป็น “ประชาคมเศรษฐกิจยุโรป” ก่อน “สหภาพยุโรป” ในปัจจุบันสมาชิกจะเพิ่มขึ้นเป็น 28 ชาติ จำนวนประชากรรวม 508 ล้านคน กลายเป็นเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
อย่างไรก็ตาม รอยร้าวเกิดขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมาเมื่ออียูขยายตัวไปยังประเทศอดีตสหภาพโซเวียต เกิดปัญหาการบริหารจัดการระบบสกุลเงินเดียว รวมไปถึงการเติบโตขึ้นของพรรคการเมืองประชานิยมที่กลายเป็นภัยคุกคามสำคัญต่อเป้าหมายสหภาพยุโรป โดยเฉพาะในประเทศอย่างโปแลนด์ บ้านเกิดของ “โดนัลด์ ทัสก์” เอง
รัฐบาลขวาจัดของโปแลนด์ แสดงความไม่พอใจที่ผู้นำชาติสหภาพยุโรปไม่สนใจเสียงคัดค้านของโปแลนด์ และเปิดทางให้ “ทัสก์” ดำรงตำแหน่งประธานคณะมนตรีสหภาพยุโรปต่อไปจนถึงปี 2019
ขณะที่ “โปแลนด์” เองก็ได้ประกาศเอาไว้ว่า โปแลนด์จะไม่ยอมรับ “ยุโรป” ที่มีอัตราการก้าวเดินที่แตกต่างกัน นโยบายซึ่งจะส่งผลให้ประเทศบางประเทศ “ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง” ขณะที่ชาติยักษ์ใหญ่อย่าง “ฝรั่งเศส” และ “เยอรมนี” นำอยู่เบื้องหน้า
ด้าน “เยอรมนี” และ “ฝรั่งเศส” เองก็ต้องการที่จะให้มีความร่วมมือกันมากขึ้นในด้าน “กลาโหม” และ “เศรษฐกิจ” เพื่อก้าวพ้นจากความบอบช้ำจาก “เบร็กซิท” ที่ทำให้ “อังกฤษ” กลายเป็นชาติแรกในประวัติศาสตร์ที่ถอนตัวออกจาก “อียู”
ชาร์ลส์ เดอ มาร์ซิลลี ผู้เชี่ยวชาญจากมูลนิธิชูมัน หน่วยงานคลังสมองของประเทศเบลเยียมระบุว่า ในความเป็นจริงผู้ที่กลัว “ยุโรปที่มีย่างก้าวที่แตกต่างกัน” นั้นกำลังกลัวที่จะถูกลดความสำคัญ
“มันเป็นการยากที่จะสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาโดยไม่มีการแยกออก และความก้าวหน้าที่ไม่มีมลทิน” มาร์ซิลลีระบุ
ด้านโฆษกนายกรัฐมนตรีอังกฤษระบุว่า นายกรัฐมนตรีอังกฤษได้ส่งคำอวยพรให้กับเพื่อนร่วมงานในสหภาพยุโรปทุกๆ คน และว่า “สมาชิกอียู 27 ชาติกำลังเดินไปในทางหนึ่ง ขณะที่ชาวอังกฤษลงมติเลือกที่จะเดินไปในอีกทางหนึ่ง” เท่านั้นเอง!