ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24 - 30 มีนาคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | คนของโลก |
เผยแพร่ |
ด้วยเพลง “จอห์นนี บี. กู้ด” (Johnny B. Goode) ผลงานปี 1958 ที่นิยามแนวดนตรีร็อกแอนด์โรลได้เป็นอย่างดีจนโครงการสำรวจอวกาศวอยเอเจอร์ของสหรัฐอเมริกาเลือกใช้เป็นเพลงที่จะแนะนำให้สิ่งมีชีวิตนอกโลกรู้จักกับดนตรีของมนุษย์
ถือได้ว่า ชัค เบอร์รี ได้สร้างตัวละครคลาสสิคขึ้นมา นั่นคือมือกีตาร์ที่ดูกระท่อนกระแท่นผู้เอาชนะได้ด้วยทักษะความสามารถล้วนๆ
“ผู้คนเดินผ่านไปมา เขาจะหยุดและพูดว่า โอ้โห เด็กบ้านนอกตัวเล็กๆ นั่นเล่นกีตาร์ได้ดี” เป็นเนื้อเพลงที่เบอร์รีร้องออกมา
แต่ที่จริงแล้ว เบอร์รีคิดมากทีเดียวกับเนื้อเพลงท่อนนี้ เขาเปิดเผยในภายหลังว่า ที่จริงแล้วตอนแรกเขาแต่งว่า “เด็กผิวสีตัวเล็กนั่นเล่นกีตาร์ได้ดี” และตัดสินใจเปลี่ยนเพื่อให้เพลงเปิดในวิทยุได้
เบอร์รีที่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมาขณะมีอายุได้ 90 ปี มีส่วนช่วยในการสร้างสรรค์ดนตรีร็อกแอนด์โรลและวัฒนธรรมคนหนุ่มสาวยุคใหม่ ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในนักดนตรีชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันคนแรกที่ชนะใจผู้ฟังผิวขาวในวงกว้าง
ถึงอย่างนั้นก็ตาม เบอร์รีต้องถูกบีบให้ใช้ชีวิตอย่างเปราะบางในประเทศที่ส่วนใหญ่ยังคงตกอยู่ภายใต้การแบ่งแยกเลือกปฏิบัติอย่างเป็นระบบของ “กฎหมายจิม โครว์” หรือกฎหมายแบ่งแยกสีผิว
เส้นทางในอาชีพของเบอร์รีต้องประสบกับปัญหาใหญ่ เมื่อเขาถูกตัดสินให้รับโทษจำคุกจากข้อกล่าวหาว่าร่วมหลับนอนกับพนักงานเสิร์ฟที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
ซึ่งเป็นคำพิพากษาที่หลายคนมองว่า เป็นการเตือนของชนชั้นสูงผิวขาว ไปยังศิลปินแอฟริกันอเมริกันที่มาไกลเกินไป
ในด้านดนตรีแล้ว การที่เบอร์รีประสบความสำเร็จส่วนหนึ่งเป็นเพราะทักษะของเขาที่เข้าใจความแตกต่างด้านชาติพันธุ์
เบอร์รีที่เกิดในครอบครัวชนชั้นกลางในเมืองเซนต์หลุยส์ เป็นนักเล่นกีตาร์แนวบลูส์ ที่รู้ว่าผู้ฟังผิวขาวชอบฟังดนตรีคันทรี เขาผสมผสานแนวดนตรี 2 ชนิดนี้เข้าด้วยกัน โดยพร้อมกับเคยพูดติดตลกว่าเขาเป็น “คนบ้านนอกผิวดำ” สร้างดนตรีแนวใหม่ขึ้นมา ที่ในเวลาต่อมากลายเป็นร็อกแอนด์โรล
แต่ตัวเขาเองกลับไม่ค่อยเต็มใจที่จะถูกเรียกว่าเป็น “บิดาแห่งร็อกแอนด์โรล”
ในช่วงที่ชาวอเมริกันยุคเบบี้บูมเข้าสู่วัยของการต้องพบเผชิญเจริญเติบโต เบอร์รีพิชิตใจผู้คนด้วยความสามารถในการแสดงบนเวที ซึ่งรวมถึงการเดินท่าเป็ด และเนื้อเพลงที่เป็นการเฉลิมฉลองเสรีภาพของการเป็นวัยรุ่น
“เมย์เบลลีน” เพลงแรกของเขาพูดถึงการขับรถเล่นรับลมในคาดิลแล็กของเขา
แจ๊ก แฮมิลตัน ผู้ช่วยศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียบอกว่า เบอร์รีสามารถยึดกุม “ความขบถหัวรั้น ความสนุกสนานร่าเริง และความไม่กังวลต่อเรื่องใดๆ” ของคนเจเนอเรชั่นหนึ่งได้
“การที่คนผิวดำทำอย่างนั้นได้ในยุคทศวรรษที่ 1950 ต้องถือว่าค่อนข้างเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก เขาแต่งเพลงที่กลายเป็นซาวด์แทร็กของคนหนุ่มสาวชาวอเมริกัน ทั้งผิวขาวและผิวดำ”
เบอร์รีไม่ค่อยให้สัมภาษณ์กับสื่อมากนัก โดยเกรงว่าเขาจะทำให้เกิดเป็นประเด็นเรื่องอารมณ์ความรู้สึก แต่เขาตอบคำถามได้อย่างน่าประทับใจในแบบนักการทูตเมื่อถูกถามถึงเรื่องประเด็นทางการเมืองของเชื้อชาติและเรื่องที่ว่า ทำไมศิลปินร่วมยุคสมัยเดียวกันที่มีผิวขาวอย่าง เอลวิส เพรสลีย์ ถึงมีฐานะร่ำรวยกว่าเขามาก
ในการให้สัมภาษณ์กับลอสแองเจลิสไทม์ส เมื่อปี 1987 เบอร์รียอมรับว่าเครือข่ายสถานีโทรทัศน์มีเจ้าของเป็นคนผิวขาวและให้โอกาสกับเอลวิสมากกว่า แต่เขาไม่ได้มองว่า “ราชาเพลงร็อก” เป็นคู่แข่งของเขา
“ไม่ใช่เรื่องไม่ยุติธรรมที่จะบอกว่า มีคนเจ็ดคนเลือกกินไก่งวงแล้วอีกคนเลือกที่จะกินพริกหรืออะไรก็ตาม ก็แค่มีคนเลือกที่จะฟังเพลงของเขามากกว่าเพลงของผม ก็เท่านั้นเอง”
เส้นทางอาชีพของเขาต้องหยุดชะงักเมื่อปี 1959 เมื่อเขาถูกจับกุมภายใต้กฎหมายที่แทบไม่มีคนรู้ว่ามีอยู่ นั่นคือการพาเด็กหญิงอายุ 14 ปีเดินทางข้ามรัฐ โดยมีจุดประสงค์ที่ไม่บริสุทธิ์ใจ
เบอร์รีปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยบอกว่าเขาไม่ได้ร่วมหลับนอนกับเด็กเสิร์ฟคนดังกล่าว แต่เขาถูกตัดสินโดยคณะลูกขุนที่เป็นคนผิวขาวทั้งหมดว่ามีความผิดจริง และต้องรับโทษจำคุก 1 ปีครึ่ง
ในเรื่องที่เหมือนเป็นการเย้ยหยันอันขมขื่น ช่วงเวลาดังกล่าวนักดนตรีร็อกผิวขาวจากอังกฤษที่ล้วนได้รับอิทธิพลจากเพลงของเบอร์รีนำโดย “เดอะ บีตเทิลส์” และ “เดอะ โรลลิ่งสโตนส์” เข้ายึดครองความนิยมในอเมริกา ในปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมที่รู้จักกันในชื่อว่า “บริติชอินเวชั่น”
หลังจากนั้น ดนตรีที่เชื่อมโยงกับคนแอฟริกันอเมริกันในยุคหลังเปลี่ยนไปเป็นแนวดนตรีแบบโมทาวน์ ในยุคทศวรรษที่ 1960 มาสู่ฮิปฮอปในปัจจุบัน ซึ่งห่างไกลจากรากเหง้าของร็อกแอนด์โรล
ที่ ชัค เบอร์รี บิดาของดนตรีแนวนี้เป็นผู้ริเริ่มเอาไว้