ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 เมษายน 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
เผยแพร่ |
สุจิตต์ วงษ์เทศ
หน้ากากนาฏกรรม
ปิดหน้าโขนเล่นรามเกียรติ์
โขนเป็นนาฏกรรมสวมหน้ากาก หรือ mask play เมื่อคนเล่นโขนต้องสวมหน้ากาก ที่ต่อมาเรียกหน้าโขน แล้วพัฒนาเป็นหัวโขน ปัจจุบันเรียกศีรษะโขน
หน้ากาก เป็นเครื่องสวมเพื่อพรางหน้าจริงในพิธีเข้าทรง เพื่อเชื่อมโยงมนุษย์เข้ากับอำนาจศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติตามหน้ากากนั้น มีในกลุ่มชนดั้งเดิมทุกเผ่าพันธุ์ในโลก รวมทั้งในภูมิภาคอุษาคเนย์
หน้ากากเก่าสุดพบในไทย มีอายุราว 2,500 ปีมาแล้ว เป็นภาพเขียนสีบนเพิงผาในถ้ำเขาสามร้อยยอด (อ.สามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์) และที่ผาแต้ม (อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี) ฯลฯ
คนสวมหน้ากากต้องเป็นเพศหญิงคนสำคัญของเผ่าพันธุ์ เช่น หมอมดหมอขวัญ, หัวหน้าเผ่าพันธุ์ เพื่อติดต่อเชื่อมโยงผีขวัญบรรพชนที่มีพลังอำนาจเหนือธรรมชาติให้กำจัดเหตุร้ายต่างๆ และบันดาลความอุดมสมบูรณ์ในพืชพันธุ์ว่านยาข้าวปลาอาหาร
มีการละเล่นสวมหน้ากากผีบรรพชน สืบเนื่องจากยุคดึกดำบรรพ์ เช่น ปู่เยอย่าเยอ (ในลาว), ผีตาโขน (ในไทย) ฯลฯ
หน้าพราน หรือหน้ากากพรานบุญ ในโนราชาตรี เป็นหน้ากากสืบเนื่องจากประเพณีดึกดําบรรพ์ 2,500 ปีมาแล้ว
หัวโขน (ใส่แทนหน้ากากที่มีมาแต่ดั้งเดิม) น่าจะมีขึ้นในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ราวแผ่นดิน ร.1-3 โดยเฉพาะช่วง ร.2 มีความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงทางการช่างและการละเล่นหลายอย่าง
ต้นแบบหัวโขน มาจากไหน? ไม่พบหลักฐานตรงๆ แต่น่าเชื่อว่าจะมาจากหัวหุ่น (บางทีเรียกหน้าหุ่น) ที่ ร.2 ทรงแกะไม้รักหน้าสวมชฎาด้วยฝีพระหัตถ์ เป็น พระยารักใหญ่ กับ พระยารักน้อย ซึ่ง “งามไม่มีหน้าพระอื่นเสมอสอง” (สมเด็จฯ เจ้าฟ้านริศ ทูลถวายสมเด็จฯ กรมพระยาดํารง เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2458 ใน สาส์นสมเด็จ เล่ม 1)