กาละแมร์ พัชรศรี : ตื่นตีสี่ทุกวันสิคะ

การย้ายบ้านใหม่ยังเป็นเรื่องเร้าใจฉันอยู่จนถึงบัดนี้ มีเรื่องให้ได้ทำ ได้เรียนรู้ในสถานที่แห่งใหม่ไม่ว่างเว้น

แต่สิ่งที่ฉันต้องปรับตัวมากที่สุดคือ “การต้องตื่นตี 4 ทุกวัน”

ตื่นมาทำไมเหรอคะ ตื่นมาเดินจงกรม นั่งสมาธิค่าาาาาาาา

ไม่อยากจะเชื่อว่าชีวิตของเราเดินทางมาถึงจุดนี้จริงๆ

จากคนที่ไม่เคยนอนก่อน 5 ทุ่ม เพราะต้องอ้อยสร้อยทำนั่นทำนี่แม้จะกลับบ้านมานานแล้วก็ตาม ก็ยังเอื่อยเฉื่อยไม่อาบน้ำ นั่งดูทีวี เล่นโทรศัพท์ อ่านนั่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย มารู้ตัวอีกทีก็ 5 ทุ่มกว่าไปแล้ว นอนเที่ยงคืนกว่าตลอด แล้วก็ตั้งใจในทุกปีใหม่ว่า “ปีนี้เราจะต้องนอนเร็วให้ได้”

แล้วไงล่ะ บอกอย่างนี้กี่ปีแล้วไม่ได้นับ

 

ในที่สุดก็มีเหตุให้ตัวเองได้นอนเร็วจนได้ค่ะ

เมื่อครูอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง มีความคิดว่าเราจะตั้งใจและมีวินัยในการภาวนาให้มากขึ้น โดยครูอ้อยนั้นได้ใช้ห้องเพ้นต์เฮ้าส์ของตัวเอง สละเป็นที่เดินจงกรม นั่งสมาธิไปครึ่งห้อง เพื่อให้นักเรียนมาร่วมภาวนาได้

การภาวนาของครูอ้อยนั้นแบ่งออกเป็น 2 รอบ คือ เวลา 04.30-06.30 น. และรอบเย็นคือเวลา 18.00-20.00 น. โดยครูจะเป็นคนนำภาวนาทั้งสองรอบ

เอาจริงๆ นะ ตอนแรกฉันก็คิดว่า ว่าจะไปตามแต่สภาพร่างกายจะไหว ไปบ้าง ไม่ไปบ้าง บางวันทำงานเลิกดึกก็จะนอนยาวๆ ไป

เพราะการให้ตัวเองตื่นตี 4 ทุกวันนั้น มันไม่เคยอยู่ในสารบบชีวิต แต่เมื่อเริ่มสตาร์ตแล้ว มันเกิดอย่างนี้ค่ะ

ฉันนั้นอยู่คอนโดฯ เดียวกับครูอ้อย เลยตื่นตี 4 แล้วมาทันเวลาตีสี่ครึ่ง แต่สำหรับอีกหลายคนบ้านอยู่ห่างไกลคนละโยชน์ก็ยังมา และที่สำคัญคือ เขามาได้เกือบเดือนแล้วด้วย บางคนบ้านอยู่พระรามสอง อยู่เลียบด่วนรามอินทรา ก็ยังมาทัน ดังนั้น ฉันจึงควรละอายใจในเรื่องนี้

และครูก็ได้สละพื้นที่บ้านตัวเองให้เราได้ไปภาวนา ที่สำคัญกว่านั้นครูมานำภาวนาทุกบัลลังก์ นี่เรียกได้ว่า “ยกวัดมาไว้ที่บ้าน” ขนาดนี้ แกจะเอาอะไรอีกกกกกก

วันแรกตื่นเต้นจัด นอนไม่หลับ เพราะกลัวจะไม่ตื่น เลยนอนไปตอนตี 2 แล้วต้องตื่นตี 4 ดี๊ดีอ่ะค่า แต่เราก็ต้องลุกให้ได้

ใช่ค่ะ ลุกได้ก็หลับได้ไงคะ นั่งสมาธิจะเหลือเหรอ

วันต่อๆ มาเราปรับกลยุทธ์เรื่อยๆ นอนเร็วขึ้น ซึ่งถามไถ่เพื่อนๆ ร่วมการภาวนากว่า 30 ชีวิต บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า 3 ทุ่มเริ่มขึ้นเตียงแล้ว และไม่นอนเกิน 4 ทุ่ม

ซึ่งพอเอาเข้าจริง มันจะง่วงเองโดยอัตโนมัติค่ะ ไม่ต้องข่มตาหรือฝืนนอนอะไรเลย

แล้วบางคนก็มาภาวนาตอนเย็นด้วย เสร็จแล้วก็กลับบ้านนอน ตอนเช้ามาใหม่อีกแล้ว พูดเลยว่า “กราบใจ” จริงๆ

ฉันทำมาได้ 3-4 วันที่ตื่นมาภาวนารอบเช้า ถ้าตอนเย็นมีนัด มีงานก็ไม่ได้มา แต่พอต้องอัดรายการเลิก 4 ทุ่ม กว่าจะกลับถึงบ้าน อาบน้ำ ล้างเครื่องสำอาง ปาไป 5 ทุ่มกว่า ตอนล้มตัวลงนอน คิดเลยว่า พรุ่งนี้จะไม่ตื่นแน่นอน ขอนอนยาวๆ ไปเลย อีกใจก็คิดว่า เราจะยอมแพ้จริงๆ เหรอ ถ้ายอมวันนี้ วันหน้าก็ต้องมีข้ออ้างยอมได้อีก เลยเปลี่ยนใจมาตั้งนาฬิกาปลุกตี 4 เหมือนเดิม

ตื่นมาก็สดใสดีไม่มีงอแงอะไร

แก้ปัญหาตื่นเช้าไปได้อย่างหนึ่งแล้ว ยังมีเรื่องความง่วงระหว่างภาวนาอีก คือตอนเดินจงกรมยังไม่เท่าไหร่ แต่พอได้นั่งเฉยๆ หลับตาสิ หลับเยอะมากกกกกกกก เลยต้องหาตัวช่วยเสียแล้ว อัดทั้งซุปไก่สกัด กาแฟผสมช็อกโกแลต

แหมมมมม มันดีขึ้นทันตาเห็น สดชื่นขึ้นมาเลย

เราก็คิดว่าเราน่าจะรอดแล้ว ยังค่ะ มันยังจะหิวอีกค่าาาาาาา

วิบากมันเยอะจริงๆ อินี่!!!!

มันจะเริ่มหิวตอนนั่งสมาธิไปสักพัก ก็น่าจะประมาณ 6 โมงเช้า ท้องก็ร้องขึ้นมาดังมากกกกกก และดังไม่หยุด แถมดังด้วยเสียงที่แตกต่างกันดั่งเครื่องดนตรี ดังขนาดนี้เพื่อนรอบข้างได้ยินแน่นอน แล้วมันทำลายสมาธิเขาไง ไหนจะน่าอับอายอีก ฉันจึงต้องเกร็งท้องไว้ตอนที่ท้องมันทำท่าจะร้อง

ค่าาาาาา มีสมาธิมากกกกกจริงๆ เลยใช้การกำหนดรู้ไปเลยว่า หิว รู้ว่า หิว

วันต่อมากินผลไม้ กินขนมปังแผ่น กินถั่ว มันก็ยังร้องหิวอยู่นั่นแหละ คราวนี้เพิ่มไข่ต้มไปด้วย หวังว่าอาการจะดีขึ้น สาธุ…

สิ่งที่กำลังทำนี้สำหรับฉันแล้วมันเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่ฉันต้องการเอาชนะตัวเองให้ได้ มีวินัยในเรื่องนี้ให้ได้ เพราะถ้าทำคนเดียวก็คงขี้เกียจไม่ทำ แล้วพอฉันลงภาพตอนภาวนาในไอจี ปรากฏว่ามีคนขอบคุณมากมาย

เพราะมันเป็นแรงบันดาลใจให้เขา มีพี่ที่รู้จักกันไลน์มาส่วนตัวว่า ขอบคุณที่ลงภาพนี้ เพราะเขากำลังขี้เกียจพอดี พอเห็นเลยลุกขึ้นมานั่งสมาธิไปครึ่งชั่วโมง

ฉันเพิ่งเริ่มต้น เป็นนักปฏิบัติใหม่ ฉันมีหน้าที่ที่ต้องเอาชนะใจตัวเองให้ได้ ฝึกฝนอย่างไม่ย่อท้อ

จะตื่นตี 4 ด้วยกันสักตั้งไหมคะ…