“สมคิด” เดินสายสิบทิศ หว่านล้อมนักลงทุนยักษ์ทั่วโลก 99% ไม่มีข้อสงสัยเรื่องการเมืองไทย!

นาย​สมคิด จา​ตุ​ศรี​พิทักษ์ กล่าว​ปาฐกถา​ปิด​โครงการ​อบรม"ผู้​นำ-นำ​การ​เปลี่ยนแปลง" รุ่น​ที่ 1 ซึ่ง​ทาง​มูลนิธิ​สัมมาชีพ ร่วม​กับ​เครือ​มติ​ชน​จัด​ขึ้น​ระหว่าง​วัน​ที่ 31 กรกฎาคม-5 กันยายน 2553 ที่​ห้อง​ประชุม​หนังสือพิมพ์​ข่าวสด

10 เดือนของการเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ง่วนอยู่กับยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ-การเมือง 4 ขา

ขาแรก เดินสายเชียร์อัพนักธุรกิจเอกชน ดึงเงินออกจากตู้เซฟออกมาลงทุนโครงการเมกะโปรเจ็กต์ และร่วมขบวนกับเอ็นจีโอเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในวาระ “ประชารัฐ”

ขาที่สอง กระหนาบทีมรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ ข้าราชการระดับสูง ให้เร่งสปีดจัดทำโครงการ ประมูลจริง-เบิกจ่ายจริง เขยื้อนตัวเลขเศรษฐกิจมหภาค

ขาที่สาม เดินสายโรดโชว์เศรษฐกิจไทย เจาะขายแพ็กเกจลงทุน ประกบแบบตัวต่อตัวกับนักธุรกิจ-นักลงทุนต่างชาติ ที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย

ขาที่สี่ บริหารอารมณ์เศรษฐกิจ ให้เข้ากับจังหวะขับเคลื่อนการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหม ในทีมคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

ดร.สมคิด ปรารภปนหัวเราะก่อนว่า “เวลานี้ อยากมีสมคิด สักสิบสมคิด” จากนั้นเป็นบทสนทนา สลับอารมณ์เคร่งเครียด-เชื่อมั่นและปลงตก

ดร.สมคิด เล่าผลการเดินสายโรดโชว์ ญี่ปุ่น รัสเซีย เยอรมนี เกาหลี ตะวันออกกลาง และจีน ในเที่ยวล่าสุดว่าภาพรวมเศรษฐกิจตอนนี้ เม็ดเงินในโลกมีเยอะ และไม่รู้จะปลงทุนที่ประเทศไหนดี ถ้าเมืองไทยสงบ นักลงทุนมาแน่

“จากนี้ไปถ้าปัญหาการเมืองไม่เกิดขึ้น ทุกอย่างจะดีขึ้น นักลงทุนจากบริษัทยักษ์ใหญ่ 99% ไม่มีข้อสงสัยเรื่องการเมืองไทย ส่วนใหญ่พร้อมที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย

เวลานี้เป็นจังหวะดีที่ไทยจะเป็น 1 ในอาเซียน ซึ่งเป็นพันธมิตรและหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ดีกับจีน และไทยจะเป็นตัวกลางให้จีนในการร่วมพัฒนากลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง การโรดโชว์ครั้งนี้เป็นทริปที่ดีที่สุดในการเจรจาการค้า-การลงทุน”

ดร.สมคิด ส่งสัญญาณถึงผู้นำการเมืองมหาอำนาจจีน ว่า

“ขณะนี้นายกรัฐมนตรีไทยกำลังปฏิรูปเศรษฐกิจ ปฏิรูปประเทศ และหัวใจสำคัญคือเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจกับจีน”

กระทั่งบรรลุข้อตกลงในการเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจร่วมกับจีน การเข้าร่วมพัฒนากลุ่มเศรษฐกิจ CLMVT ให้มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจพร้อมๆ กัน

ยุทธศาสตร์นี้ จะมีส่วนทำให้ กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม เป็นพันธมิตรที่ดีกับจีนอีกครั้ง หลังมีปมคาใจในการประชุมกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง ในช่วงที่ผ่านมา

เมืองไทยในแผนที่โลก จากมุมมองของ ดร.สมคิด ยังอยู่ในสถานการณ์ได้เปรียบ

“สถานการณ์ที่เศรษฐกิจ การเมืองของโลก กำลังปรับเปลี่ยนผู้นำในหลายประเทศทั้งในอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และอเมริกา ขณะที่เวียดนาม เมียนมา ยังมีระยะห่างกับจีน ดังนั้น ในเชิงภูมิศาสตร์การเมืองใหม่ จะเป็นจุดที่ได้เปรียบมากสำหรับไทย”

ดร.สมคิด มั่นใจกับแพ็กเกจใหม่ ที่จะเป็นตัวขายกับนักลงทุนยักษ์ทั่วโลก คือ ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก 3 จังหวัด คือ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา หรือ Eastern Economic Corridor : EEC

เขาเชื่อว่า พื้นที่นี้จะเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่รวบรวมสิทธิประโยชน์ให้นักลงทุนมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ไม่น้อยหน้าเขต “ผู่ตง” ในเซี่ยงไฮ้

จากนี้ไปจะให้กระทรวงคมนาคม และกระทรวงอื่นๆ นำแพ็กเกจการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก ไปเดินสายโรดโชว์กับนักลงทุนต่างประเทศ ขณะนี้กำลังเตรียมโรดโชว์ที่อินเดียเป็นทริปต่อไป

ถ้าคิดการณ์ใหญ่ และพื้นฐานเศรษฐกิจไทยเอื้อมถึง คือการวางยุทธศาสตร์ประเทศไทย ให้เชื่อมกับเขตการค้าโลกถึง 3 เขต

“หลังการประชามติเบร็กซิท จะเกิดการเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจในยุโรป เป็นโอกาสของเอเชียทั้งการลงทุนทางตรง และการลงทุนในตลาดเงิน ตลาดทุน ทั้งข้อสรุปในกลุ่ม ASEM และเร่งเดินหน้าเขตการค้า RCEP (Regional Comprehensive Economic Partnership) ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียน 10 ประเทศ กับ 6 ประเทศ คือ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ และการดึงรัสเซียร่วมวง และปลายปีนี้จะมีการประชุมกลุ่ม BEMTEC ที่จะใช้ไทยเป็นศูนย์กลางการพัฒนา 7 ประเทศ”

รองนายกรัฐมนนตรีเชื่อว่าในครึ่งปีหลัง 2559 เม็ดเงินจากต่างชาติเข้ามาลงทุนชัดเจนขึ้นแน่นอน และเมื่อรัฐบาลเปิดให้เอกชนประมูล โครงการรถไฟฟ้า 3 สาย คือ สีส้ม ชมพู เหลือง เม็ดเงินลงทุนภาคเอกชนก็จะเข้าระบบเศรษฐกิจ ในขณะนี้ดัชนีเศรษฐกิจมหภาคดีขึ้นทุกตัว จีดีพีในช่วงครึ่งปีหลังจึงไม่น่าห่วง

แม้ว่า ดร.วีรพงษ์ รามางกูร จะคาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวเป็นรูปตัว L-curve แต่ ดร.สมคิด เชื่อมั่นว่าจีดีพีไทยจะขยายตัวในรูป NIKE-curve หรือสัญลักษณ์เครื่องหมายกาถูก คือมีลงมาเล็กน้อยแล้วค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้น

บางจังหวะ ดร.สมคิด ต้องเป็นคนกลาง ทั้งระหว่างนักการทูตกับนักการทหาร สางปมแก้ปัญหากฎการค้าระหว่างประเทศ กรณีการพ้นจากเทียร์ 3 เป็นเทียร์ 2 ในปมการค้ามนุษย์ รวมทั้งการทำประมงผิดกฎหมาย ไม่รายงาน และไร้การควบคุม หรือ IUU ดร.สมคิด สรุปว่า

“เป็นผลจากความพยายามและการทำงานหนักของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และคณะ”

ส่วนการปลด “ธงแดง” จากองค์กรการบินพลเรือนระหว่างประเทศ หรือ ICAO นั้นมี “ทีมเฉพาะกิจตึกไทยคู่ฟ้า” ทำงานใกล้ชิดกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และทีมนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม ติดตามการปลดล็อกให้เข้าระดับมาตรฐานให้มากที่สุด-เร็วที่สุด

สุดท้าย ดร.สมคิด ปลงตกว่า ทั้งภารกิจ 4 ขา โชคชะตาส่วนตัวและชีวิตที่ผูกกับบ้านเมือง เป็นเรื่องที่ยากจะหลีกหนี

และถ้าจะให้ดี ในเวลานี้รัฐบาลจึงต้องมี “สิบสมคิด” เป็นอย่างน้อย!!