พลโท ดร.พงศกร รอดชมภู : เก็บเงินพระ โยมอย่าไปยุ่ง?

ในภาวะของยุคภาษีอานนี้ นอกจากเรื่องขึ้น VAT แล้วยังมีข่าวลืออยู่ในโซเชียลและในรัฐสภาว่ามีความพยายามผลักดันให้มีการเก็บเงินพระโดยออกมาเป็นกฎหมายให้มีคณะกรรมการดูแลเงินแทนพระ โดยข้ออ้างนั้นมาจากสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทยหรือ TDRI ว่ามีเงินในวงการวัดหลายแสนล้านบาท ตามมาด้วยการสร้างกระแสข่าวว่าพระเอาเงินไปใช้ส่วนตัว สึกไปมีสีกาตามที่เห็นเป็นข่าว ฯลฯ และว่าพุทธแท้จะต้องไม่รับเงินและทอง

เรื่องนี้ควรค่อยๆไล่คิดไปทีละประเด็นเพื่อสร้างความยุติธรรมและโปร่งใสให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริงโดยมองเฉพาะประเด็นการบริหารจัดการ ประการแรกคือพระภิกษุในพระธรรมวินัยควรที่จะรับเงิน ทองหรือไม่? เรื่องนี้มีความชัดเจนมานานแล้วว่าหากจะเป็นพระภิกษุที่แท้จริงต้องไม่แม้ยินดีในเงินและทอง ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องการรับเงินและทอง

พระในประเทศพม่า(เมียนมาร์) เวลาสาธุชนบริจาคจะมีเจ้าหน้าที่มารับเงินบริจาคนั้น ไม่ทราบว่ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ ไม่มีใครบอกหรืออาจจะไม่กล้าเป็นข่าวด้วยกลัวทหารพม่าก็เป็นได้ นี่คงจะเป็นความคิดหนึ่งที่เห็นว่าจะดูแลเรื่องเงินทองของพระได้ ดังนั้นการที่ไม่ให้พระรับเงินทองมีตัวอย่างในพม่าเป็นอย่างน้อย

แต่ประเทศไทยมีเรื่องใหญ่กว้างขวางไปกว่านี้ ก็คือถ้ามีการจัดการเรื่องเงินของวัดไทยได้ ก็ต้องเป็นวัดทั้งฝั่งเถรวาทและมหายาน และหากจัดการเรื่องการบริจาคของทางพุทธศาสนาได้ ก็คงต้องจัดการเกี่ยวกับศาสนาอื่นตามมาอย่างแน่นอน ซึ่งคงเป็นศาสนาคริสต์ อิสลาม ฮินดู ซิกส์ และอื่นๆ มิฉะนั้นก็จะเป็นการเลือกปฏิบัติ แม้ว่าศาสนาอื่นจะไม่ได้มีข้อห้ามไว้เหมือนทางพุทธก็ตาม

ดังนั้นควรพิจารณาว่าจะจัดเก็บเงินในศาสนสถานทั้งปวงนี้ในทุกศาสนา ทุกนิกายอย่างไร ดูจะเป็นการครอบคลุมทุกมิติมากกว่า เมื่อต้องบริหารจัดการเงินในทางศาสนาต่างๆแล้ว เรื่องความโปร่งใสนับว่าสำคัญและต้องไม่ไปขัดต่อศรัทธาของศาสนิกและทิศทางการเผยแผ่ของศาสนานั้นๆอีกด้วย มิฉะนั้นก็จะกลายเป็นการปิดกั้นเสรีภาพในการนับถือศาสนาซึ่งเป็นหลักสากลไปกลายๆ อย่างไรก็ตามในบางประเทศที่เป็นมุสลิมเคร่งครัดก็ไม่ได้สนใจเรื่องเช่นนี้การปิดกั้นการเผยแผ่ศาสนาอื่นเป็นเรื่องปกติ หรือในประเทศที่เป็นทางโลกมากๆ ก็จะไม่ยอมให้เรื่องทางศาสนาเข้ามาเป็นข้ออ้างในการละเมิดสิทธิ เสรีภาพของคนในประเทศตนก็มี

ดังนั้นในขั้นต้นนี้ต้องคำนึงถือวิถีทางที่จะใช้ได้กับทุกศาสนาอย่างเท่าเทียมกัน มิใช่กลายเป็นทำลายศาสนาหนึ่ง เพื่อส่งเสริมศาสนาอื่นๆไป เพราะทุกศาสนาแข่งขันกันเพื่อแสวงหาผู้ศรัทธาเช่นเดียวกัน ความสามารถในการแข่งขันด้านความเชื่อนี้จึงควรมีอย่างเสรียกเว้นจะเป็นนโยบายของรัฐว่าจะเป็นรัฐศาสนาเคร่งครัดหรือรัฐทางโลกเคร่งครัดก็จะแตกต่างกันออกไป

ว่ากันด้วยเรื่องความโปร่งใสในการจัดเก็บเงินของวัด โบสถ์ มัสยิด ศาสนสถานต่างๆกันก่อนว่า การใช้ระบบบัญชีและตรวจสอบได้นั้นก็สมควรอยู่ แต่มีข้อกังวลอยู่หลายประการนั่นคือ จะให้สมบัติของศาสนสถานเป็นของรัฐตามที่ได้มีข่าวลือจริงหรือไม่ จะเสียภาษีเงินได้หรือไม่และจะให้ใครเป็นผู้ดูแลบริหารเงินก้อนนี้

ถ้าศาสนสถานเป็นของรัฐอยู่ในการบังคับของรัฐ ศาสนสถานนั้นจะถูกกดขี่ กลั่นแกล้งโดยคนของรัฐที่นับถือศาสนาอื่นหรือไม่? เรื่องเช่นนี้เกิดปัญหามาแล้วในอินเดีย จนเกิดเหตุนายกรัฐมนตรีฯถูกสังหารจากองครักษ์ที่เป็นผู้นับถือศาสนาอื่น การเคร่งศาสนาเกินไป ใช้อำนาจทางโลกมาก้าวก่ายทางศาสนาเกินไป กระทบต่อศรัทธาความเชื่อเกินไป ย่อมนำมาซึ่งความขัดแย้งทั้งสิ้น ดังนั้นการให้ศาสนสถานเป็นของรัฐ การเก็บภาษีเงินได้และการบริหารเงินซึ่งเกี่ยวข้องกับรัฐ ในระยะยาวจะเกิดปัญหาภัยจากความเชื่อนี้ได้โดยง่ายเมื่อรู้สึกว่าถูกขัดขวางการปฏิบัติศาสนกิจ โดยเฉพาะจากศาสนาที่มีปัญหาความรุนแรงติดตามมาด้วย

นอกจากนั้น ปัญหาของระบบราชการเองที่ยังไม่อาจเชื่อใจได้ว่ามีความโปร่งใส และซื่อสัตย์ในการปฏิบัติหน้าที่ เรายังคงเห็นสิ่งก่อสร้างภาครัฐชำรุดง่าย ถนนหนทางต้องซ่อมบ่อยๆ อาคารของรัฐที่ดีอยู่แล้วถูกทุบและสร้างใหม่โดยไม่สนใจต่อความสิ้นเปลืองเกิดอยู่ทั่วไป อาคารสาธิตต่างๆถูกทิ้งร้างหลังตัดริบบิ้น ทั้งๆที่เป็นเงินจากงบประมาณ จากภาษีอากรที่มีการควบคุมอย่างดี ก็พบว่าเป็นเรื่องเกิดขึ้นอย่างปกติทั่วไป ด้วยเหตุที่ผู้ใช้ถือว่าไม่ใช่เงินของตนเอง หากยกเรื่องหัวคิว ทุจริต คอรัปชั่นออกไปเสีย ก็คือการใช้จ่ายอย่างไม่มีคุณภาพ สุรุ่ย สุร่าย แล้วใครจะเชื่อว่าภาครัฐ คนของรัฐจะซื่อสัตย์ในเมื่อเป็นเงินบริจาคซึ่งการตรวจสอบจะอ่อนด้อยลงไปอีก และยิ่งเมื่อไหร่ที่เป็นรัฐที่ข้าราชการมีอำนาจ จะโยกเงินบริจาคไปให้ข้าราชการใช้จ่ายหาความสำราญก็จะเกิดขึ้นโดยง่าย

ดังนั้นเงินบริจาคหากไม่ใช่เรื่องของการกระทำที่ผิดกฎหมายแล้ว ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะให้คนของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้องหรือบริหารเงินของศาสนสถานเป็นอันขาด เพราะเมื่อคนขาดศรัทธาในระบบของรัฐแล้ว การบริจาคจะลดลง เท่ากับเป็นการบ่อนทำลายศาสนาโดยตรง เพราะจะขาดปัจจัยทั้งในการดูแลศาสนสถานและการขยายตัว ทุกเรื่องต้องถามเจ้าหน้าที่รัฐๆก็จะมีอำนาจในการกดทับศาสนาไว้ หรือเรียกรับเงินซึ่งเป็นเรื่องปกติทั่วไป ส่งผลให้ศาสนาต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องทุจริต เรื่องผิดศีลธรรม เรื่องทางโลกมากขึ้น สุดท้ายประชาชนก็จะเลิกเลื่อมใสศาสนา หันไปเป็นคนไร้ศาสนามากขึ้นเพราะรังเกียจรัฐ เช่นเดียวกับคนตะวันตกส่วนใหญ่ที่เลิกนับถือศาสนาเพราะทนกับการกดขี่จากรัฐและศาสนาไม่ได้มานานนั่นเอง ดังนั้นการรวมศาสนาไว้กับทางโลกจึงเป็นอันตรายอย่างยิ่ง

ศาสนาเป็นเรื่องความศรัทธาและเพราะศาสนิกบางส่วนศรัทธาโดยไม่ศึกษาธรรมะอย่างจริงจัง ปัญหาจึงมีเพียงเท่านั้น รัฐก็ควรส่งเสริมให้แต่ละศาสนาได้ให้ความรู้จากพระธรรมของแต่ละศาสนาอย่างแท้จริง ไม่เข้าไปแทรกแซงกิจการภายในของศาสนสถานจะเป็นการบำรุงศาสนามากกว่า

ในกรณีเฉพาะของพุทธศาสนาเรื่องไม่ให้พระยินดีในเงินทอง ก็อาจให้คณะสงฆ์ประชุมหาทางออกกันเองในเรื่องนี้ รัฐเพียงตั้งข้อสังเกตนี้เสนอไปยังคณะสงฆ์ว่า คณะสงฆ์ไทยควรเคร่งครัดในประเด็นนี้เพื่อให้ผู้ที่ยังไม่เลื่อมใสได้เลื่อมใส ผู้ที่เลื่อมใสอยู่แล้วก็ให้เลื่อมใสมากขึ้น คณะสงฆ์อาจมีทางออกที่ดีให้กับภาครัฐ และต้องไม่ลืมว่าปัจจุบันการใช้ชีวิตในโลกปัจจุบันที่คนไม่เลื่อมใสพระมีอยู่มาก สาธุชนที่จะอุทิศตัวดูแลพระมีจำนวนน้อย เพราะพระต้องเดินทาง ต้องเสียค่าน้ำ ค่าไฟ หรือต้องรักษาตัว

รัฐก็ส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ให้ เช่นคณะกรรมการวัดก็ให้มีครู นักบัญชี ผู้อาวุโสในหมู่บ้าน นักวิชาการมากขึ้นในการดูแลพระ คนเหล่านี้สามารถบริหารเงินบริจาคได้อยู่แล้วในเวลานี้ ไม่ต้องคิดกันใหม่ หรือใช้ทางโลกบังคับกันให้วุ่นวาย

จริงอยู่จะมีพุทธพาณิชย์แสวงหาผลประโยชน์จากผู้ศรัทธา เจ้าอาวาสอาจมีเงินหลายล้านเป็นสมบัติของตนเอง รัฐก็เพียงให้ทำเป็นบัญชีส่วนกลาง มีข้อยกเว้นทางภาษีให้ เพื่อให้เจ้าอาวาสเอาเงินฝากไว้ มีคณะกรรมการจากหมู่บ้าน หรือชุมชนหลายฝ่ายดูแล ถ้าร่วมกันโกงก็รับบาป รับกรรมกันไปเอง ญาติโยมได้บุญกันเต็มเปี่ยมก็ถือว่าใช้ได้แล้ว แต่อย่างน้อยที่สุดก็ตรวจสอบบัญชีได้ตามที่หลายๆคนที่ผลักดันกฎหมายต้องการ มีการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินของวัดทุกเดือนให้ชาวบ้านหรือชุมชนทราบ และเจ้าอาวาสไม่ต้องผิดพระวินัยเพราะมายุ่งกับการเงิน การทองอีกต่อไป

ประเด็นจึงอยู่เพียงว่าเรื่องของพระโยมอย่าไปยุ่ง ปล่อยให้คณะกรรมการวัดดูแลเงินทองกันไป มีเพียงระเบียบปฏิบัติ หรือจะออกกฎหมายก็ขอให้ออกมาเท่าที่จะทราบว่าจะมีการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินต่อสาธารณะเป็นประจำ ไม่สามารถโยกย้ายเงินไปในทางส่วนตัวหรือภายในกลุ่มคณะกรรมการวัดได้เท่านั้นก็เพียงพอ