สุรชาติ บำรุงสุข | เมื่อประชาชนลงถนน! เศรษฐกิจกับการเมือง 2020

ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข

“เมื่อความอยุติธรรมกลายเป็นกฎหมาย การประท้วงก็กลายเป็นหน้าที่”

ประธานาธิบดีโทมัส เจฟเฟอร์สัน

หากสำรวจภาพรวมจากปี 2019 จะเห็นได้ว่ามีการประท้วงใหญ่เกิดในหลายประเทศทั่วโลก

ซึ่งหากเน้นเฉพาะการประท้วงใหญ่ที่เป็น “mass protest” แล้ว จะเห็นได้ว่าในยุโรป ได้แก่ ฝรั่งเศส สเปน และสาธารณรัฐเช็ก ในละตินอเมริกา ได้แก่ โคลอมเบีย เอกวาดอร์ ชิลี และโบลิเวีย ในตะวันออกกลาง ได้แก่ แอลจีเรีย ซูดาน อิรัก อิหร่าน และเลบานอน

ในเอเชีย ได้แก่ อินเดีย และฮ่องกง

ซึ่งในหลายประเทศที่เผชิญกับการประท้วงนี้ ระบอบการปกครองเดิมได้ถูกโค่นล้มลงใน 5 ประเทศ ได้แก่ โบลิเวีย แอลจีเรีย เลบานอน อิรัก และซูดาน

ภูมิภาคละตินอเมริกา

การเมืองในละตินอเมริกาในปี 2019 เป็นเรื่องน่าสนใจที่เกิดการประท้วงใหญ่ในหลายประเทศ และน่าสนใจในอีกมุมที่การประท้วงเช่นนี้ไม่นำไปสู่การรัฐประหารเช่นที่เคยเกิดขึ้นในช่วงต้นทศวรรษที่ 1960

ซึ่งอาจอธิบายในด้านหนึ่งได้ว่า กระบวนการสร้างความเข้มแข็งของระบอบประชาธิปไตยในละตินอเมริกา (Democratic Consolidation) ประสบความสำเร็จ

ที่อย่างน้อยเห็นได้ชัดว่าการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลขนาดใหญ่ไม่ได้นำไปสู่การยึดอำนาจของฝ่ายทหาร

และผู้นำทหารตลอดรวมถึงผู้นำในปีกขวาทั้งหลายก็ไม่ได้ฉวยโอกาสที่ล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

โบลิเวีย

การประท้วงใหญ่ที่เกิดขึ้นในโบลิเวียเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อเกิดการต่อต้านประธานาธิบดีโมราเลส (President Evo Morales) ที่อยู่ในอำนาจมาอย่างยาวนานถึง 14 ปี และเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่มาจากชนพื้นเมือง แต่เขาอยู่ในอำนาจนานเกินไป อันทำให้หลายฝ่ายไม่ยอมรับ

แต่เขาก็พยายามที่จะอยู่ในอำนาจต่อไปด้วยการโกงการเลือกตั้ง การประท้วงจึงเกิดและขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวาง

จนกลายเป็นแรงกดดันทั้งจากปีกประชาสังคมและจากผู้นำทหาร ที่ต้องการให้ประธานาธิบดีก้าวลงจากอำนาจ

ในที่สุดเขาตัดสินใจที่จะยุติบทบาทด้วยการลาออกในวันที่ 10 พฤศจิกายน และเดินทางไปลี้ภัยที่เม็กซิโก

รัฐบาลที่ก้าวขึ้นสู่อำนาจใหม่มาจากฝ่ายค้านที่เป็นปีกอนุรักษนิยม

สิ่งที่เกิดขึ้นที่โคลอมเบียถือเป็นจุดเริ่มต้นของ “กระแสการประท้วง” ที่กำลังพัดกระจายไปทั่วทั้งภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นในเอกวาดอร์และชิลี

ดังได้กล่าวแล้วว่าการเปลี่ยนอำนาจในครั้งนี้ไม่ได้ใช้รัฐประหารเป็นเครื่องมือ แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ก็ไม่ได้ยุติปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้จริง

ประธานาธิบดีอเนซ (President Jeanine Anez) ยังเผชิญกับการประท้วงที่เกิดในเมืองหลวงและหลายเมืองใหญ่ของประเทศ เพราะผู้สนับสนุนโมราเลสยังต้องการให้เขากลับสู่ตำแหน่งอีกครั้ง

ขณะเดียวกันการประท้วงเช่นนี้ยังนำไปสู่การปะทะระหว่างฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายต่อต้าน

ซึ่งการประท้วงดังกล่าวจะมีส่วนอย่างมากต่อการกำหนดอนาคตทางการเมืองของโบลิเวียในปี 2020 โดยเฉพาะอย่างยิ่งโมราเลสจะมีโอกาสหวนคืนสู่ตำแหน่งได้จริงเพียงใด และเมื่อต้องเผชิญกับการประท้วงไม่ต่างกัน ปีกอนุรักษนิยมจะอยู่ได้นานเพียงใด

และรัฐบาลอนุรักษนิยมจะฟื้นเศรษฐกิจของประเทศอย่างไร

ภูมิภาคตะวันออกกลาง

หากดูจากการประท้วงใหญ่ที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลางแล้ว จะเห็นได้ว่า “คลื่นอาหรับสปริงลูกที่สอง” ที่เกิดจากปี 2018 ต่อเนื่องเข้าปี 2019

ยังคงเป็นกระแสความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ

แอลจีเรีย

ในตอนต้นปี 2019 กระแสการประท้วงใหญ่ในตะวันออกกลางที่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญเกิดขึ้นที่แอลจีเรีย

รัฐบาลของประธานาธิบดีบูเตฟลิกา (President Abdelaziz Bouteflika) ที่อยู่ในอำนาจอย่างยาวนานถึง 20 ปี ถูกกดดันจากการชุมนุมของประชาชนที่ต่อต้านประธานาธิบดีที่ตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้งในสมัยที่ 5 ทั้งที่เขามีปัญหาสุขภาพอย่างมาก และมีอายุมากถึง 82 ปี

อีกทั้งเขาไม่ได้ปรากฏตัวในที่สาธารณะมาเป็นระยะเวลาพอสมควร โดยเฉพาะนับตั้งแต่เขามีอาการป่วยเป็นอัมพฤกษ์ในปี 2013

การประท้วงใหญ่เริ่มต้นขึ้นในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ และขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวาง

จนในที่สุดผู้นำทหารบกถอนการสนับสนุนรัฐบาล และประกาศว่าเขาไม่มีความพร้อมของร่างกาย และต้องออกจากตำแหน่ง “ทันที”

ซึ่งประธานาธิบดีได้ลาออกในวันที่ 2 เมษายน แต่กระนั้นการประท้วงก็ไม่ได้ยุติลง และผู้ประท้วงต่างรู้สึกว่าการเปลี่ยนผ่านที่เกิดขึ้นไม่ได้นำไปสู่การสร้างประชาธิปไตย เพราะผู้ที่มีอำนาจจริงที่อยู่เบื้องหลังได้แก่ฝ่ายทหาร

อีกทั้งมวลชนบนถนนมองว่ารัฐบาลใหม่ไม่มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และคอร์รัปชั่นไม่ต่างจากรัฐบาลเดิม

ดังจะเห็นได้ว่าประชาชนมากกว่าร้อยละ 60 บอยคอตการเลือกตั้งในวันที่ 12 ธันวาคม

และผู้ชนะการเลือกตั้งก็เป็นนายกรัฐมนตรีภายใต้รัฐบาลเดิมมาก่อน

แม้การประท้วงที่แอลจีเรียยังไม่จบ แต่การประท้วงที่ครั้งนี้ก็โค่นรัฐบาลเผด็จการที่สำคัญชุดหนึ่งของตะวันออกกลางลงได้

ซูดาน

คลื่นอาหรับสปริงลูกที่สองเกิดขึ้นอีกครั้งที่ซูดาน การประท้วงเพื่อต่อต้านรัฐบาลของประธานาธิบดีบาเชียร์ (President Omar al-Bashir) ที่เป็นหนึ่งในรัฐบาลเผด็จการที่มีอายุยืนนานชุดหนึ่งในตะวันออกกลางที่อยู่ในอำนาจนานถึง 30 ปีนั้น เริ่มขึ้นตั้งแต่ปลายปี 2018

และเป็นดังคาดที่รัฐบาลอำนาจนิยมจะใช้มาตรการปราบปรามเป็นเครื่องมือ

ในที่สุดบาเชียร์ก็ถูกกดดันให้ลงจากอำนาจในต้นเดือนเมษายน 2019 แต่การประท้วงก็ไม่ได้สิ้นสุดลง จนในเดือนสิงหาคมผู้นำทหารจึงยอมที่จะให้เกิดการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง และยอมให้ประเทศถูกปกครองโดยพลเรือน

ดังนั้น รัฐบาลพลเรือนของซูดานจึงถือกำเนิดขึ้นในเดือนกันยายน และเป็นรัฐบาลแรกหลังระบอบบาเชียร์ เขาถูกคุมขังพร้อมกับลงโทษ 2 ปีในคดีคอร์รัปชั่นในวันที่ 14 ธันวาคม

และการไต่สวนยังย้อนกลับไปถึงการรัฐประหาร 1989 ที่ทำให้บาเชียร์ก้าวขึ้นสู่อำนาจ… ไม่มีนิรโทษกรรมสำหรับนักรัฐประหารที่ซูดาน และคดีนี้มีโทษถึงประหารชีวิต

จึงน่าสนใจว่าคดีนี้จะปิดลงในปี 2020 ด้วยการประหารชีวิตผู้นำรัฐประหารหรือไม่

เลบานอน

ตัวอย่างของการประท้วงใหญ่อีกกรณีได้แก่ กรณีของเลบานอน เพราะปกติเรามักจะได้ข่าวเรื่องของเลบานอนที่เป็นเรื่องสงคราม

แต่ในครั้งนี้เป็นเรื่องของการประท้วงใหญ่ ที่ทำให้ในที่สุดแล้ว ประธานาธิบดีฮาริรี่ (President Saad al-Hariri) ต้องยอมลาออก

การประท้วงใหญ่เกิดขึ้นในตอนกลางเดือนตุลาคม 2019 และขยายตัวออกไปอย่างรวดเร็ว

เป้าหมายคือการต่อต้านชนชั้นนำที่เป็นรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการคอร์รัปชั่น การบริหารที่ผิดพลาด อันนำประเทศไปสู่วิกฤตทางเศรษฐกิจและการเงินของประเทศ และเป็นภาวะที่เลวร้ายที่สุดในช่วงหลายทศวรรษ

การประท้วงในส่วนหนึ่งจึงเป็นผลโดยตรงจากภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำลงอย่างมาก หรืออีกนัยหนึ่งการประท้วงที่เกิดขึ้นมีลักษณะเป็น “ม็อบเศรษฐกิจ” ที่ประชาชนเป็นจำนวนมากมีความรู้สึกร่วม และพร้อมที่จะออกมาบนถนน

ในที่สุดมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ โดยมีศาสตราจารย์ Hassan Diab อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

แต่การประท้วงไม่ว่าจะเป็นในเบรุตหรือในเมืองหลักอื่นๆ ก็ไม่ได้ยุติลงแต่อย่างใด ประชาชนเป็นจำนวนมากรู้สึกว่านายกรัฐมนตรีคนใหม่ก็มาจากกลุ่มชนชั้นนำเดิมที่คอร์รัปชั่น

และประเด็นของนายกรัฐมนตรียังเกี่ยวข้องกับปัญหาความมั่นคง เพราะการล้มลงของรัฐบาลผสมเดิมนั้น ทำให้กลุ่มติดอาวุธของชาวชีอะห์คือกลุ่มฮิซบุลลอฮ์หมดอำนาจในรัฐบาลตามไปด้วย กลุ่มนี้จึงหันกลับมาสนับสนุนนายกรัฐมนตรีคนใหม่

แต่ปัญหาที่ยุ่งยากเกิดจากการที่แม้ Diab จะเป็นสุหนี่ แต่เขากลับไม่ได้รับการสนับสนุนจากชนกลุ่มนี้

ฉะนั้น การเมืองเลบานอนในปี 2563 จึงเป็นที่จับตามองว่ากระแสการประท้วงใหญ่จะเกิดขึ้นอีกหรือไม่ และรัฐบาลใหม่จะอยู่ได้จริงเพียงใดในอนาคต

อิรัก

อีกมุมหนึ่งของการประท้วงในตะวันออกกลางคือ การต่อสู้เรียกร้องในอิรักที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2019 จนทำให้นายกรัฐมนตรี Adel Abdul Mahdi ต้องลาออกในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา

การประท้วงนี้มีศูนย์กลางอยู่กับเรื่องทางเศรษฐกิจ และเป็นประเด็นที่ทำให้มีผู้เข้าร่วมด้วยเป็นจำนวนมาก

แต่ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ใช้วิธีปราบอย่างรุนแรง ดังจะเห็นได้ว่ามีผู้ชุมนุมมากกว่า 450 คนถูกยิงเสียชีวิต

และมีจำนวนผู้บาดเจ็บมากกว่า 20,000 คน

ข้อเรียกร้องทั้งในอิรักและในเลบานอนมีความคล้ายคลึงกันคือ พวกเขาต้องการให้รัฐบาลของชนชั้นนำที่คอร์รัปชั่นออกไป (อิรักเป็นประเทศที่มีการคอร์รัปชั่นมากที่สุดเป็นอันดับที่ 12 ของโลก จากการจัดอันดับของ The Transparency International)

อีกทั้งผู้ประท้วงต้องการปรับรื้อระบบทางการเมืองของประเทศที่พวกเขามองว่าเป็นระบบที่ทำให้ประชาชนยากจน และระบบนี้เปิดโอกาสให้ชนชั้นนำเข้ามาแสวงประโยชน์ทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ และในสายตาของมวลชนบนถนน ชนชั้นนำที่คอร์รัปชั่นเหล่านี้เป็นตัวแทนของระบอบเผด็จการ และเป็นต้นตอของความยากจน

การประท้วงในอิรักจึงเป็นอีกส่วนที่สะท้อนให้เห็นถึง “ม็อบเศรษฐกิจ” และการประท้วงที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่า อิรักที่เคยสงบมากว่าสองปีหลังจากการแตกของฐานที่มั่นหลักของกลุ่มรัฐอิสลาม (IS) แล้ว รัฐบาลเพิ่งจะมาเผชิญกับการประท้วงขนาดใหญ่ในช่วงปลายปี 2019

อย่างไรก็ตาม การจัดตั้งรัฐบาลที่แบกแดดมีปัญหาประการสำคัญว่า จะจัดตั้งผู้นำรัฐบาลสายชีอะห์ที่ได้การสนับสนุนจากอิหร่าน (ซึ่งส่วนหนึ่งของกลุ่มนี้อยู่ในรัฐสภา) หรือจะตั้งผู้นำที่ได้รับการยอมรับจากผู้ประท้วงที่ส่วนใหญ่เป็นสุหนี่ ปัญหาเช่นนี้ทำให้การตัดสินใจเลือกของประธานาธิบดีอิรักเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย

และการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ยังอาจเป็นชนวนของการประท้วงในปี 2020 อีกทั้งทำอย่างไรที่รัฐบาลใหม่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้

การประท้วงขึ้นสู่กระแสสูง!

ละตินอเมริกา

หากเปรียบเทียบแล้วจะพบว่า การประท้วงที่เกิดขึ้นในปี 2019 มีลักษณะเป็น “ม็อบเศรษฐกิจ” มากขึ้น

เช่น ในเอกวาดอร์มีอาการคล้ายในโบลิเวีย และการประท้วงที่โบลิเวียเป็นตัวอย่างของการเรียกร้องของประชาชนในปัญหาทางเศรษฐกิจ ผู้ประท้วงในโบลิเวียชนะเช่นไร ในเอกวาดอร์ก็ชนะเช่นนั้น จนรัฐบาลต้องยอมยุติการขึ้นราคาพลังงาน (ผลจากแรงกดดันของไอเอ็มเอฟ)

การประท้วงใหญ่ในชิลีที่เริ่มจากการประกาศขึ้นค่าโดยสารระบบสาธารณะในตอนกลางเดือนตุลาคม และได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว การประท้วงต้องเผชิญกับความรุนแรงอย่างมาก จนมีผู้เสียชีวิตถึง 26 คน และส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก

แต่ผลจากการประท้วงนี้ทำให้รัฐบาลต้องหันมาทำแผนลงทุนใหม่เพื่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจถึง 5.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ

การประท้วงที่ชิลีสะท้อนให้เห็นว่า ปัญหาเศรษฐกิจเป็น “เชื้อเพลิง” ที่พร้อมจะจุดไฟแห่งการประท้วงได้ง่ายๆ และจุดเริ่มต้นของการประท้วงอาจจะไม่ใช่เรื่องทางการเมืองโดยตรง

ยุโรป

การประท้วงของกลุ่ม “แจ๊กเก็ตเหลือง” ที่ฝรั่งเศสเป็นตัวแทนที่ชัดเจนของ “ม็อบเศรษฐกิจ”

และการประท้วงที่เริ่มในปี 2018 ต่อเนื่องในปี 2019 และตามมาในปี 2020 ด้วยการประท้วงของสหภาพขนส่ง และต่อมาด้วยการประท้วงเรื่องเงินบำนาญ

การประท้วงใหญ่ในสเปนในปี 2019 ยังคงเป็นเรื่องการเรียกร้องเอกราชของชาวคาตาลาน ที่ยังไม่อาจจบลงได้โดยง่าย

นอกจากนี้ยังมีการประท้วงใหญ่ในสาธารณรัฐเช็ก ที่มวลชนเรียกร้องให้เปลี่ยนตัวผู้นำ

เอเชีย

การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของชาวฮ่องกงเป็นคำยืนยันที่ชัดเจนของพลังประชาชนบนถนน และเป็นความท้าทายมากที่สุดที่รัฐบาลปักกิ่งต้องเผชิญกับ “โจทย์ฮ่องกง”

นับตั้งแต่การรับมอบเกาะนี้จากอังกฤษในปี 1997 และมีการประท้วงขนาดใหญ่ในอินเดียเกิดจากประเด็นทางกฎหมายที่ไม่ยอมรับสถานะของชาวมุสลิม จนกลายเป็นปัญหาของรัฐบาลเดลี

การประท้วงใหญ่ในเอเชียมีการเมืองเป็นประเด็นหลัก

ในขณะที่ในยุโรป ละตินอเมริกา และตะวันออกกลางมีเศรษฐกิจเป็นประเด็นสำคัญ

ถ้าเช่นนั้นในปี 2020 จะมีรัฐบาลใดถูกโค่นด้วยพลังประชาชนบนถนน

หรือรัฐบาลใดต้องปรับเปลี่ยนนโยบายอันเป็นผลจากแรงกดดันด้วยพลังมหาชน?