สถานีคิดเลขที่ 12 โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร / ไม่จบแถมบานทะโร่

สถานีคิดเลขที่ 12 / สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

————————–

ไม่จบแถมบานทะโร่

————————–

ไม่ว่าจะเอาใจช่วย

หรือ แช่ง ชักหักกระดูก พรรคอนาคตใหม่

แต่ดูเหมือนสิ่ง”ร่วมกัน”ประการหนึ่งของทั้งสองฟาก

คือ เห็นว่า ถึงจะรอดการยุบพรรค จากกรณี “อิลลูมินาติ”

แต่ ก็ยังอยู่ในภาวะ “จบ ที่ไม่จบ”อยู่นั่นเอง

ยังต้องเผชิญ อีก “หลายดาบ”

กรณี “อิลลูมินาติ” ก็ยังมีประเด็นคาอยู่

นั่น คือศาลรัฐธรรมนูญ แนะให้พรรคอนาคตและคณะกรรมการเลือกตั้ง(กกต.) ไปแก้ข้อบังคับพรรค

ที่ระบุว่า “ยึดมั่นในหลักประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ”

ให้เปลี่ยนเป็น ” ยึดมั่นในหลักประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”

ด้วยอาจก่อให้เกิดความแตกแยกระหว่างคนในชาติ

ซึ่งต้องรอดูว่าพรรคอนาคตใหม่จะแก้ไขหรือไม่ และกกต.จะมีท่าทีอย่างไร

รวมถึงฝ่ายที่ จ้องยัดข้อหาชังชาติให้พรรคนี้ จะขยายปมนี้ซึ่งเป็นเสมือน”หอก”ที่ปักอยู่กลางหลังต่อไปอย่างไร

ล่าสุด นายณฐพร โตประยูร เจ้าเก่า ก็โผล่ไปร้องซ้ำที่กกต.ให้ฟ้องพรรคอนาคตใหม่เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครอง

โดยอ้างศาลรัฐธรรมนูญแนะไว้ในคำวินิจฉัย

กรณี “อิลลูมินาติ” จึงไม่จบ

เช่นเดียวกับที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พร้อมพวกที่ร่วมจัดแฟลชม็อบ เมื่อ14 ธันวาคม 2562

ก็ถูกเพิ่มข้อหา ชุมนุมสาธารณะในระยะไม่เกิน 150 เมตร จากพระราชฐานเข้าไปด้วย

ถือเป็นการเติมประเด็น “ละเอียดอ่อน”ให้ฝ่ายที่พยายามแขวนป้ายให้พรรคนี้เป็นพรรค”อันตราย”เข้าไปอีก

รวมถึงปมปัญหาเงินกู้นายธนาธรที่มาใช้ในการเลือกตั้ง 191 ล้านที่ ฝ่ายตรงข้ามหวังจะเป็น”ดาบ”เล่มใหญ่ฟาดฟันให้ยุบพรรคให้ได้

ซึ่งฝ่ายพรรคอนาคตใหม่ก็ทราบและได้วางเกมสู้”นิติวอร์”ทั้งในและนอกสภาเช่นกัน

ทำให้ กลายเป็นหนังยาว ที่ทั้งฝ่ายต้านและฝ่ายหนุนเห็นตรงกันว่า

“ไม่จบ”ง่ายๆแน่นอน

คงต้องติดตามกันต่อไป

ติดตาม เช่นเดียวกับ ภาวะ จบ แต่ไม่จบ ในฟากรัฐบาลด้วย

ด้วยตอนแรก ใครๆก็คิดว่า ภาวะปริ่มน้ำของพรรครัฐบาลคงจบแล้ว

เพราะชนะทั้งเลือกตั้งซ่อม ได้อดีต 4 สมาชิกพรรคอนาคตมาร่วม ได้กลุ่มพรรคการเมืองอิสระมาสวามิภักดิ์ และน่าจะติดตามมาด้วยเสียงส่วนใหญ่ในพรรคเศรษฐกิจใหม่อีก

เรื่อง โหวต ในสภา จึงน่าจะจบ ไม่ควรจะเป็นปัญหาบีบคั้นอีก

แต่ที่ไหนได้ เกิดมาโป๊ะแตก ในเรื่อง “เสียบบัตร”แทนกันเสียนี่

แถมเป็นกรณีเสียบบัตรแทนกันในเรื่องสำคัญอย่าง พ.ร.บ.งบประมาณ พ.ศ.2563 ด้วย

สะเทือนไปทั้ง สภา และรัฐบาล

แถมถ้ายังจัดการไม่ดี กระทบไปทุกหย่อมหญ้าทั่วประเทศแน่ เพราะเงินลงทุน เงินใช้จ่ายทั้งประจำและไม่ประจำ รวมถึงเงินฉุกเฉิน คงจะรวนไปทั้งระบบ

ตอนนี้ต้องรอ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ไม่รู้ว่าจะออกมาแบบไหน

แต่ทุกคนก็จับตาด้วยมีกรณีคล้ายคลึงกันนี้ คือการกู้เงินแก้ไขระบบน้ำ 2ล้านล้าน เป็นมาตรฐานอยู่

ซึ่งหากยึดตามนั้น อาจจะทำให้คำวินิจฉัยไม่เป็นคุณต่อฝ่ายรัฐบาลนัก

เกิดเป็นดังกล่าวจริงก็คงยุ่ง จะหาทางจบ อย่างไร

ไล่เบี้ยเอาผิดคนเสียบบัตรแทนกันก็คงว่ากันไป

ไล่เบี้ยพรรคร่วมที่แทงกันซึ่งหน้าก็คงว่ากันไป

แต่ ที่อยากให้มองย้อนกลับไปไกลๆ นั่นก็คือการดีไซน์รัฐธรรมนูญ ที่ทำให้รัฐบาลเป็นรัฐบาลผสมหลายพรรคหรือ”เบี้ยหัวแตก”นั้น

ณ บัดนี้ก็เจอผลเสียเข้ากับตัวเองจังๆ คือนอกจากจะใช้ปาฏิหารย์นับเสียงแบประหลาดมาเป็นรัฐบาลแล้ว

ยังต้องมานั่งกลุ้มเรื่องเสียงปริ่มน้ำ ที่หาทางแก้ทุกวิถีทาง

นึกว่าจะจบ ก็ไม่จบ

เจอบัตรเสียบ บานทะโร่ เป็นริดสีดวงกำเริบ ทั้งสภาและทำเนียบ

โทษใครดี!