การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ ทวีปที่สาบสูญ เหตุผลของการเวียนว่ายอยู่ในนรก

…ถ้าจะนอนพักให้นานนักจนไม่ต้องตื่นอีก (ขีดฆ่า)

ถ้าจะหลับใหลจนไม่ต้องตื่นอีก

เพื่อจะหลีกให้พ้นทุกรสความขื่นขม

ไม่ต้องแสดงปั้นหน้าว่าชื่นอยู่ในนรก

อกแท้ตรอมตม (ขีดฆ่า)

อกแท้ตรอมตรม

ถ้าจะเป็นหนึ่งธุลีในสายลม (ขีดฆ่า)

ถ้าจะเป็นหนึ่งละอองธุลีในสายลม

จะเป็นไปได้ไหม

 

ฉันนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือข้างหน้าต่าง ยามที่แดดข้างนอกกำลังผ่อนแสงลงเรื่อยๆ แต่ก็มีลมพัดมาเป็นระลอก พาใบกล้วยแห้งสะบัดอยู่ไหวไหว

ฉันจรดปากกาลงในกระดาษ ค่อยๆ ขีดเขียนมันไปทีละวรรค ละวรรค

…ถ้าจะเป็นหนึ่งธุลีในสายลม

จะเป็นไปได้ไหม

แล้วถ้าฉันจะเป็นนกสักตัวหนึ่งเล่า

จะโบยบินขึ้นพ้นจากผืนดินแล้งแห้งเปล่า (ขีดฆ่า)

จะโบยบินขึ้นพ้นจากผืนดินแล้งแห้งว่างเปล่า

ได้หรือไม่

ฤดูกาลที่ผันโฉมหน้า ซึ่งแล้วแต่ละเทศกาลก็จะผ่านไป

ฉันจะไปด้วยได้ไหม (ขีดฆ่า)

ฉันไปด้วยได้ไหม

ไกลสุดจนไม่อาจหวนกลับมา (ขีดฆ่า)

ฉันไปด้วยได้ไหม

ไปให้ไกล ไปให้พ้น

จนไม่มีวันหวนกลับมา

 

ฉันไม่เคยรู้ว่า “นักเขียน” คนอื่นๆ มีวิธีการทำงานอย่างไร สำหรับคนที่เก่งมากๆ แล้ว บางทีพวกเขาอาจจะไม่ต้องมานั่งอ่านทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างฉัน ไม่ต้องขีดปากกาทับกันไปมา เพื่อจะฆ่าตัวหนังสือส่วนเกินออกไป หรือแก้คำเล็กๆ น้อยๆ ให้สมบูรณ์แบบขึ้น

แต่สำหรับฉัน แม้จะเป็นการเขียนที่ยาวนาน และยังไม่รู้เลยว่ามันจะได้ “ผ่านการพิจารณา” หรือไม่ แต่ฉันไม่เคยเบื่อหน่ายที่จะทำอย่างนั้น ไม่เคยคิดว่าเป็นเรื่องเสียเวลาสักนิดเดียว

เพียงแต่ว่า…วันเวลาที่จะได้นั่งเขียนบทกวีทีละบรรทัดอย่างนั้น โดยมีซองจดหมายและแสตมป์รอท่า เมื่อเขียนจบก็จะฉีกกระดาษพับใส่ซอง ปั่นจักรยานเอาไปใส่ในตู้ไปรษณีย์สีแดง…วันเวลาอย่างนั้น…

มันยังไม่เคยมี

สิ่งที่เกิดขึ้นและเป็นอยู่ตอนนี้ คือการที่ฉันนั่งเอนหัวพิงฝา หลับตา และจินตนาการเกี่ยวกับโลกในห้วงฝัน

 

…ไปให้ไกล ไปให้พ้น

จนไม่มีวันหวนกลับมา

แต่ดูนั่นสิ

โคลนเหลวที่เกรอะกรัง และเท้าที่ยังจมอยู่ข้างท่า (ขีดฆ่า)

เหลวโคลนที่เกรอะกรัง กับเท้าที่ยังจมอยู่ข้างท่า

กับอีกหมื่นแสนครั้งที่สิ้นหวัง

ณ จุดที่สิ่งใดไม่อาจเยียวยา

หรือฉันจำเป็นต้องยอมรับตระหนักว่า

มีเพียงแผลเหม็นเน่าเป็นของเราจริงจริง

 

“ไม่พี่ อย่า…”

หูยินเสียงการผลักไส แต่ก็กลั้วคำแปร่งๆ อยู่เจือปลาย ไม่แน่ใจ…หากนั่นคือสิ่งที่ฉันได้ฟังโดยแน่ชัด

“อะ…อะไรกันพี่ ไม่เอาค่ะ” อัมพรน่าจะกำลังพยายามปฏิเสธสิ่งที่พี่ชุนมอบให้ แต่ก็นั่นเอง ฉันก็ไม่รู้หรอก

ถึงที่สุด ฉันก็ไม่รู้จักใคร

ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น แม้แต่ใจฉันเอง

“…อายเขา พี่ อย่าซี…พี่…เอ๊ย จันทร์เสี้ยวเขาก็อยู่”

“ไม่เป็นไรหรอกน่า”

ถึงเวลาหน้ามืดตามัว ไร้สติสัมปชัญญะ ไร้ความยับยั้งชั่งใจ อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น

ก็คงเป็นอย่างนั้น จึงไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการนั่งหลับตา บังคับความคิดให้ผูกติดกับโลกอีกใบ…โลกที่มีตัวฉันนั่งเขียนบทกวีอยู่ในบ้านไม้…บ้านไม้ริมคลอง

…หรือฉันจำเป็นต้องยอมรับตระหนักว่า

มีเพียงแผลเหม็นเน่าเป็นของเราจริงจริง (ขีดฆ่า)

มีเพียงแผลเหม็นเน่าที่เป็นของเราจริงจริง (ขีดฆ่า)

มีเพียงแผลเป็นเหม็นเน่าที่เป็นของเราจริงจริง

 

“พอแล้วพี่ พอแล้ว พอเถอะ!”

เสียงของอัมพรดูอ่อนแรงเบาลง พร้อมกลิ่นคุ้นจมูกโชยมา หึ นั่นปะไร ไม่ว่างูพิษจะพูดยังไงด้วยลิ้นสองแฉกของหล่อน

แม้ในฉากละคร หล่อนก็แสดงบางข้อเท็จจริงอยู่ดี

นี่คือตัวฉัน นั่นคือตัวหล่อน เราพยายามจะเล่นละคร หากทั้งหมดก็คือภาพสะท้อนของความไร้สาระทั้งหลาย

ฉันเกลียด ฉันเบื่อ การที่ต้องวนว่ายอยู่ในเวิ้งห้วงความรักความชัง

เบื่อการถูกกระทุ้งกระแทกจนใจแตกร้าวอีกครั้งและอีกครั้ง

เบื่อการถูกกระทบกระทั่งในนามของความรู้สึก

 

“อีพี่ มึงเขียนกลอนดีจริงๆ นะ ตอนนี้มึงยังเขียนอยู่อีกรึเปล่า”

“…ก็เขียนอยู่”

“มึงเขียนให้กูบ้างสิ เป็นกลอนที่พูดเรื่องชีวิตกูบ้าง”

“ไม่ได้หรอกมั้งอัมพร ฉันเขียนได้แค่ความรู้สึกของฉัน”

“มันก็เหมือนกันแหละ มึงกับกู ยังไงเราก็อยู่ในนรกเดียวกัน”

“อะไรนะ”

“มึงกับกู”

อัมพรเน้นเสียง

“เราอยู่ในนรกด้วยกัน มึงจำใส่หัวไว้เถอะ”

“…ทำไม ทำไมอยู่ในนรกด้วยกัน”

“เพราะเราเกิดมาจนกันไง…จนฉิบหาย ถึงได้มาเจอกัน ถ้าอยู่คนละชั้น จะได้เห็นแผลกันรึ”

 

มีลมพัดมาสู่ดวงตาของฉัน

พร้อมหอบเอาเม็ดทรายเหล่านั้นซัดสาด

พร่างพรู

มีรูโหว่ในดวงใจฉันหรือไฉน

จึงฉีกขาดวิ่นไปเสียทุกช่องประตู

ทุกข์ทรมานที่สุดคือการมีชีวิตอยู่?

เพื่อบีบคั้นดวงตาให้มองดูสิ่งโสมม

ถ้าจะหลับใหลจนไม่ต้องตื่นอีก

เพื่อจะหลีกให้พ้นทุกรสความขื่นขม

ไม่ต้องแสดงปั้นหน้าว่าชื่นอยู่ในนรก

อกแท้ตรอมตรม

ถ้าจะเป็นหนึ่งละอองธุลีในสายลม

จะเป็นไปได้ไหม

แล้วถ้าฉันจะเป็นนกสักตัวหนึ่งเล่า

จะโบยบินขึ้นพ้นจากผืนดินแล้งแห้งว่างเปล่าได้หรือไม่

ฤดูกาลที่ผันโฉมหน้า

ซึ่งแล้วแต่ละเทศกาลก็จะผ่านไป

ฉันไปด้วยได้ไหม

ไปให้ไกล ไปให้พ้น

จนไม่มีวันหวนกลับมา

แต่ดูนั่นสิ

เหลวโคลนที่เกรอะกรัง กับเท้าที่ยังจมอยู่ข้างท่า

กับอีกหมื่นแสนครั้งที่สิ้นหวัง

ณ จุดที่สิ่งใดไม่อาจเยียวยา

หรือฉันจำเป็นต้องยอมรับตระหนักว่า

มีเพียงแผลเป็นเหม็นเน่าเป็นของเราจริงจริง

มีลมพัดมาสู่ดวงตาของฉัน

หากนั่น คือพายุจากผิวพุพองและน้ำเลือดน้ำหนองทุกสิ่ง?

เบียดเสียดแออัดทับทบก็คือซากศพที่ถูกทิ้ง?

หรือว่าข้อเท็จจริง ตัวฉันก็แค่หนึ่งในสัตว์วิ่งวน

สัตว์ที่มีชื่อเรียกว่าคนจน

นั่นคือเหตุผลของการเวียนว่ายอยู่ในนรก