ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24 กุมภาพันธ์ - 2 มีนาคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | กรองกระแส |
เผยแพร่ |
ท่าทีของ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ต่อปัญหาธรรมกายมีความแจ่มชัดอย่างยิ่ง กล่าวในทางยุทธศาสตร์ เห็นด้วยว่าจำเป็นต้องเข้าไปจัดการ แต่กล่าวในทางยุทธวิธี เห็นว่าจำเป็นต้องมีความระมัดระวังอย่างเป็นพิเศษ
เรียกร้องให้ “อดทน”
เรียกร้องให้มองว่า ที่เห็นอยู่เบื้องหน้ามิได้เป็นป้อมค่ายของ “ข้าศึก” หากแต่เป็น “คนไทย” ด้วยกัน จำเป็นต้องรอบคอบ จำเป็นต้องรัดกุม
ไม่ว่าความเห็นนี้จะมาจากฐานอะไร
1 ฐานแห่งความเป็นผู้บัญชาการทหารบก ขณะเดียวกัน 1 ฐานแห่งความเป็นเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ก็สมควรให้ความสนใจ
อย่างน้อยเสียงอันมาจาก พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ก็สะท้อนมุมมองที่แตกต่างไปจากมุมมองอันถือได้ว่าเป็นด้านหลักมาจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงยุติธรรม
กล่าวในด้านแนวทาง นี่คือหลัก “การเมืองนำการทหาร”
ไม่ว่าเสียงเตือนจาก พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท จะได้รับการรับฟังจากทิศทางด้านหลักของการจัดการกับปัญหาธรรมกายหรือไม่ อย่างไร
แต่ก็ควรให้ความสนใจอย่างเป็นพิเศษ
1 เป็นความสนใจต่อตัวบุคคล ขณะเดียวกัน 1 เป็นความสนใจต่อกระบวนการในทางความคิดที่ดำรงอยู่และแสดงออกมา
เพราะว่าปัญหาธรรมกายเป็นปัญหาในทาง “ความคิด”
ทิศทาง ด้านหลัก
ปัญหา ธรรมกาย
ต้องยอมรับว่าปัญหาธรรมกายอันมีจุดเริ่มจาก พระเทพญาณมหามุนี ได้เกิดขึ้น ดำรงอยู่ และดำเนินไปในลักษณะอันเรียกได้ว่าบานปลาย
บานปลายจากปัญหาในทางคดีความ กลายเป็นปัญหาทางการเมือง
เห็นได้จากเมื่อเดือนมิถุนายน 2559 อาจต้องการเข้าไปจับตัวพระเทพญาณมหามุนี อย่างเป็นด้านหลัก
แต่เมื่อมาถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2560 ก็มีลักษณะพัฒนา เติบใหญ่
1 ความต้องการในการจับตัว พระเทพญาณมหามุนี ยังดำรงอยู่และเป็นตัวการหลักในการอ้างอิง ขณะเดียวกัน 1 มีความต้องการเข้าไปบริหารจัดการกับวัดและมูลนิธิธรรมกายมากยิ่งกว่านั้น
นั่นก็คือ การเข้าไปกำกับและควบคุม
สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาอันเกี่ยวกับ พระเทพญาณมหามุนี ได้กลายเป็นปัญหาของวัดพระธรรมกาย กลายเป็นปัญหาของมูลนิธิธรรมกาย
นั่นเห็นได้จากปริมาณของคดีความ
เป็นคดีความตั้งแต่เรื่องมโนสาเร่ กีดขวางการจราจร ไปจนถึงการก่อสร้างตั้งแต่กำแพงวัดไปจนถึงโบสถ์วิหารการเปรียญ การรุกป่าสงวนฯ อันเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ และที่ตอกย้ำอยู่ตลอดเวลาก็คือคดีอันเกี่ยวกับรับของโจร ฟอกเงิน
รวมแล้วมากกว่า 300 คดี
กระทั่ง ในที่สุดถึงกับตัดสินใจประกาศใช้ “มาตรา 44” โดยหัวหน้า คสช. อันเท่ากับแปรเรื่องของธรรมกายให้กลายเป็นเรื่องความมั่นคง
เรื่องทาง “ศาสนา” ก็พลันกลายเป็นเรื่อง “การเมือง”
การเมือง การทหาร
ด้านหลัก ด้านรอง
เมื่อปัญหาธรรมกายเป็นเรื่องในทางความคิด เป็นเรื่องในทางการเมือง แต่เนื่องจากอีนุงตุงนังมาจากการจับตัว พระเทพญาณมหามุนี ในคดีรับของโจรและฟอกเงิน
และเนื่องจากปฏิบัติการล้มเหลวมาแล้ว 2 ครั้ง
ไม่ว่าจะเป็นเมื่อเดือนมิถุนายน 2559 ไม่ว่าจะเป็นเมื่อเดือนธันวาคม 2559 สร้างความอับอายให้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษและตำรวจเป็นอย่างมาก
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2560 จึงขยายมาตรการ “การทหาร” ให้เข้มข้นขึ้น
ปมเงื่อนในทางความคิด ปมเงื่อนความขัดแย้งอันกลายเป็นประเด็นในทางการเมืองจึงถูกมองข้าม เน้นหนักไปในเรื่อง กวาดล้าง จับกุม และเข้าไปปรับรูปใหม่ให้กับวัดพระธรรมกายอย่างด้านเดียว
ตรงนี้เองที่นำไปสู่ข้อสังเกตด้วยความห่วงใยจาก พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท
1 เจ้าหน้าที่ต้องระมัดระวัง ดำเนินการต้องรอบคอบ อดทนและควบคุมอารมณ์ให้ได้ กลัวว่าจะนำไปสู่การปะทะกัน บางครั้งเราอาจต้องยอมเสียเวลา แต่จะไม่ยอมให้มีการเสียเลือดเนื้อหรือเสียชีวิต
“หากทำแบบไม่คิดอะไรเลย ถือเป็นเรื่องง่ายแค่ใช้กำลังบุกเข้าไปจะปะทะ”
1 ขออย่าใจร้อน เพราะไม่ใช่เป็นที่ตั้งทางทหาร ฝ่ายข้าศึกเข้าตีแล้วก็จบ แต่เป็นคนไทยด้วยกันเอง ทำความเข้าใจและตั้งสติแล้วคิดถึงผลประโยชน์ของภาพรวม
นี่คือแนวทางที่เรียกว่า “การเมืองนำการทหาร” อย่างเด่นชัด
รากฐาน ความคิด
ของ ผบ.เฉลิมชัย
พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท เป็นนายทหารที่เติบใหญ่มาจากหน่วยรบพิเศษ ฐานอยู่ที่ลพบุรี ความโน้มเอียงจึงไปในแบบของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ รวมถึง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน
คงจำกันได้ว่า พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นอย่างไร
ในห้วงที่เข้ามาดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีเคยสรุปบทเรียนอย่างแหลมคมยิ่งว่า “การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง”
นั่นยืนยันว่า เอา “การทหาร” ไปแก้ปัญหาทางการเมืองจะไม่ประสบผลสำเร็จ
บทเรียนอย่างสำคัญในระยะใกล้ก็คือ รัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 อันเป็นต้นธารแห่งการเกิดรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557
ซึ่งยังไม่ได้คำตอบว่าจะเป็นรัฐประหารเสียของเหมือนเมื่อเดือนกันยายน 2549 หรือไม่
ต่อกรณีของธรรมกาย หากว่ากระบวนการในการบริหารจัดการกับปัญหาไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสมและไม่สมบูรณ์ ในที่สุดก็อาจจะนำไปสู่อีกปัญหาหนึ่ง
เหมือนกับความผิดพลาดอันเกิดจากรัฐประหารในปี 2549