วงค์ ตาวัน | ฝ่ายหนึ่งหนีคดี-อีกฝ่ายไม่ต้อง

วงค์ ตาวัน

ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.หญิงคนดัง กับนายทวี ไกรคุปต์ ผู้เป็นพ่อ อ้างว่าเหตุที่โดนเล่นงานในเรื่องที่ดินป่าสงวนฯ และที่ดิน ส.ป.ก.ในขณะนี้ เป็นเพราะทักษิณ ชินวัตร และยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 2 อดีตนายกฯ ที่หลบหนีคดีไปต่างประเทศ เนื่องจากปารีณาไปวิพากษ์วิจารณ์ 2 อดีตนายกฯ และเพราะทักษิณเป็นคนไม่ดี จึงเป็นสาเหตุให้ตนเองถูกร้องเรียนและตรวจสอบเป็นคดี

ประเด็นทักษิณและยิ่งลักษณ์เล่นงานปารีณานั้น ประชาชนทั่วไปฟังแล้วคงไม่ใส่ใจอะไร ได้แต่ขำๆ กันไป

แต่เมื่อผลการตรวจสอบที่ดินที่ปารีณาครอบครอง แล้วทำท่าจะลงเอยว่า แค่มอบที่ดินคืนรัฐก็จบ ไม่ต้องเป็นคดีก็ได้

จึงเริ่มมีข้อเปรียบเทียบ ส่วนหนึ่งเพราะเกษตรกรคนยากคนจนจำนวนมากถูกจับกุมดำเนินคดีมากมายในช่วงนโยบายทวงคืนผืนป่าของ คสช.ก่อนหน้านี้

“เกิดข้อสงสัย 2 มาตรฐานของการใช้อำนาจในประเทศชาตินี้”

ทั้งยังมีกรณีนักการเมืองย้ายค่าย แล้วหลุดพ้นคดีด้วยประเด็นแปลกๆ เช่น นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน ไม่ถูกฟ้องในคดีล้มประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนเมื่อปี 2552 เนื่องจากอัยการนำตัวมาฟ้องไม่ทัน คดีจึงขาดอายุความ

ขณะที่จำเลยอื่นๆ ในคดีนี้ ที่ยังคงเป็นแกนนำ นปช.หรือยังสังกัดพรรคเพื่อไทย เดินเข้าคุกกันถ้วนหน้า หรือไม่ก็ต้องหลบหนีคดีไป

แม้ว่านายสุภรณ์จะยืนยันว่า ที่พ้นคดีเพราะอัยการนำตัวไปฟ้องไม่ทันจริงๆ ไม่ได้เกี่ยวกับการย้ายไปสังกัดพรรคพลังประชารัฐ

“แต่ก็เป็นคำชี้แจงที่ทั่วทั้งสังคมพิจารณาได้ว่า มาจากอะไรกันแน่”

อีกทั้งคดีเดียวกันนี้ กรณีบุกล้มการประชุมอาเซียน ก็เป็นเหตุให้ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ ส.ส.ที่ย้ายค่ายจากเพื่อไทยไปสังกัดพลังประชารัฐ ถูกศาลออกหมายจับเนื่องจากไม่ไปฟังคำพิพากษาตามนัด โดยเป็นหมายจับที่ไม่สามารถใช้เอกสิทธิ์ ส.ส.คุ้มครองได้

“แต่ พ.ต.ท.ไวพจน์ก็ไปปรากฏตัวในห้องประชุมสภา วันที่รัฐบาลระดมพลเพื่อคว่ำญัตติตั้งกรรมาธิการศึกษาการใช้อำนาจ คสช. ไปนั่งร่วมเพื่อให้จำนวนสมาชิกครบองค์ประชุม ไม่ให้ล่มเป็นหนที่ 3”

กลายเป็นว่าชื่อพรรคพลังประชารัฐนี้ช่างขลังและมากด้วยอิทธิฤทธิ์บารมีแผ่กว้างจริงๆ

แล้วยิ่งปารีณากับพ่อ ไปพาดพิงทักษิณกับยิ่งลักษณ์เข้าให้อีก

ยิ่งทำให้ทั้งสังคมหยิบยกมาวิพากษ์วิจารณ์ถึง ทำนองเห็นได้แล้วว่า ทำไมฝ่ายหนึ่งต้องหนีคดีไปต่างประเทศ ทำไมอีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องหนี!?!

มากรณีพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งล่าสุดโดนอีกแล้ว เมื่อ กกต.มีมติส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเพื่อให้ “ยุบพรรค” กรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค ให้พรรคกู้เงิน 191 ล้านบาท ด้วยมีเหตุอันเชื่อได้ว่าเป็นการรับบริจาคเงินโดยแหล่งที่มาไม่ชอบด้วยกฎหมาย

หลังจากที่ก่อนหน้านี้ไม่นาน นายธนาธรเพิ่งโดนศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้พ้นสภาพ ส.ส. เนื่องจากเห็นว่าไม่ได้มีการโอนหุ้นบริษัทวี-ลัค มีเดีย และยังถือหุ้นสื่อที่เป็นลักษณะต้องห้ามวันรับสมัครเลือกตั้ง ส.ส.

โดยในกรณีหุ้นสื่อนั้น ก็เป็นการทำสำนวนร้องศาลรัฐธรรมนูญโดย กกต.

“จนนำมาสู่การวิพากษ์วิจารณ์ กกต.อย่างหนักไปทั่วทั้งสังคม!!”

เนื่องจากเห็นได้ว่าบริษัทวี-ลัคฯ นั้นเคยผลิตนิตยสารแฟชั่นไฮโซ ไม่เกี่ยวกับการเมือง และได้หยุดกิจการไม่ได้พิมพ์ขายมานานแล้ว อีกทั้งนายธนาธรก็แสดงหลักฐานยืนยันว่า ได้เดินทางกลับจากหาเสียงที่บุรีรัมย์มาถึง กทม.เพื่อโอนหุ้นนี้แล้วในเย็นวันที่ 8 มกราคม 2562 จริง

“ที่สำคัญ เป็นที่รู้กันทั่วว่า คนหลายล้านที่เลือกนายธนาธรและพรรคอนาคตใหม่ไม่ได้ถูกจูงใจจากนิตยสารในเครือบริษัทวี-ลัคฯ ดังกล่าวเลยแม้แต่น้อย นายธนาธรไม่เคยใช้สื่อเหล่านี้มาชี้นำทางการเมืองเอาเปรียบนักการเมืองอื่น อันเป็นเจตนารมณ์สำคัญของกฎหมายประเด็นนี้เลย”

ดาบต่อมาก็คือคดีปล่อยกู้พรรค 191 ล้าน ซึ่ง กกต.มีมติว่าเข้าข่ายต้องยุบพรรค นำเสนอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตัดสิน เป็นอีกคดีที่สร้างความระทึกให้กับพรรคอนาคตใหม่และผู้สนับสนุนอย่างมาก

หลังมติ กกต.ดังกล่าว นายปิยบุตร แสงกนกกุล ออกมาตั้งคำถามว่า จะเอากันแบบนี้หรือ พรรคการเมืองที่ทำให้โปร่งใสที่สุด พยายามแจกแจงที่มารายได้มากที่สุด พยายามไม่ต้องการให้นายทุนคนใดคนหนึ่งมาครอบงำพรรคมากที่สุด แต่กลายเป็นว่ากลับโดนคดีความ จากนี้ไปแต่ละพรรคการเมือง ถ้าต้องการหาเงินหาทองก็มุดลงดิน ไม่ต้องแจ้ง ใช้จ่ายอะไรไม่ต้องแจกแจงชัดเจน

“ประเทศไทยนี้สุดท้ายคือใครโปร่งใสโดนจับผิด หรือว่าประเทศนี้ใครที่ไม่อยากโดนจับผิดหรือโดนคดีความก็ต้องซุกทรัพย์สิน ไม่ต้องโปร่งใสมากก็จะรอดตัว สุดท้ายเจตนารมณ์ของกฎหมายอยู่ตรงไหนกันแน่ ซึ่งคิดว่ากระบวนการที่ริเริ่มซ้ำไปมา 13 ปี ก็วนอยู่แบบนี้ ยุบพรรค ตัดสิทธิ์ ติดคุก ท้ายที่สุดก็ไม่ได้แก้ไขปัญหาของบ้านเมือง”

ทั้งนี้ นายปิยบุตรได้อธิบายความเป็นมาของเงินกู้นี้ว่า เมื่อเริ่มตั้งพรรค ทาง คสช.ยังไม่ยอมยกเลิกประกาศให้พรรคการเมืองทำกิจกรรม จึงทำให้พรรครับบริจาคและระดมทุนไม่ได้ แต่เราจำเป็นต้องใช้เงิน เมื่อเปิดกฎหมายดูก็ไม่ได้ห้ามให้กู้เงิน อีกทั้งไม่ต้องการให้พรรคอนาคตใหม่เป็นพรรคของนายธนาธร ดังนั้น นายธนาธรจึงตัดสินใจให้พรรคกู้เงิน และถ้าพรรคเริ่มเปิดระดมทุนและรับบริจาคได้ก็จะทยอยคืนเงิน

“เป็น 2 คดีที่พรรคอนาคตใหม่โดนอย่างต่อเนื่อง จากการที่หัวหน้าพรรคต้องพ้นสภาพ ส.ส. กำลังถูก กกต.เสนอศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรค”

นี่คือชะตากรรมของพรรคการเมือง ที่ปลุกคนรุ่นใหม่ให้ตื่นตัวทางการเมืองอย่างกว้างขวาง และประกาศเดินหน้าเปลี่ยนแปลงการเมืองแบบไม่ประนีประนอมกับอำนาจเก่า

คำประกาศจุดยืน ขอ “อยู่ไม่เป็น” ส่งผลให้กำลังจะ “อยู่ไม่ได้” ในระบบการเมืองนี้หรือไม่!?

ภาพการให้กู้เงินของพรรคอนาคตใหม่ เพื่อแสดงที่มาอันเปิดเผยของเงินที่ใช้ในพรรค เพื่อต้องการแสดงให้เห็นว่าพรรคนี้ไม่มีนายทุน กับภาพพรรคพลังประชารัฐจัดโต๊ะจีนรับบริจาคกว่า 600 ล้าน ลงเอย กกต.สอบแล้ว บริสุทธิ์ผุดผ่องทุกประการ

“กลายเป็นคำถามใหญ่ๆ ในสังคม!!”

ไม่เท่านั้น ยังมีกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ที่ได้รับเสนอชื่อเป็นนายกฯ โดยพลังประชารัฐ กล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญญาณโดยกล่าวไม่ครบถ้วนและแต่งเติมจากที่รัฐธรรมนูญกำหนด ลงเอยก็อยู่ได้เฉยๆ ไม่เป็นอะไร

การแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา โดยไม่มีรายละเอียดที่มาเงินงบประมาณ ก็ไม่เป็นไร

วันก่อนพรรครัฐบาลแพ้โหวตฝ่ายค้านในญัตติตั้งกรรมาธิการศึกษาการใช้อำนา คสช. ก็ขอโหวตใหม่ได้จนชนะ

“เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่จะถูกประชาชนนำไปเปรียบเทียบและเกิดข้อสงสัยต่อความเป็นไปในประเทศนี้”

ย้อนกลับไปดูปัญหาที่เริ่มตั้งแต่ปี 2549 รัฐประหารล้มทักษิณ จนสุดท้ายต้องหนีคดีไปต่างประเทศ ต่อมายิ่งลักษณ์ชนะเลือกตั้ง แล้วก็โดนล้มอีกด้วยรัฐประหาร 2557 จนต้องหนีคดีไปต่างประเทศอีก

คนจำนวนไม่น้อยเลยไม่ต้องสงสัยแล้วว่า ทำไมฝ่ายหนึ่งต้องหนีคดี ทั้งขณะเดียวกันยังพบว่าประเทศต่างๆ ทั่วโลกไม่เคยร่วมมือจับทักษิณและยิ่งลักษณ์ส่งกลับไทย เพราะไม่มีประเทศไหนเชื่อว่าต้องคดีทุจริต แต่มองว่าเป็นเบื้องหลังการเมือง

การเมืองวันนี้มีนายธนาธรและอนาคตใหม่ ความหวังของคนรุ่นใหม่ เพราะเชื่อมั่นในจุดยืนความคิดอุดมการณ์ ความมุ่งมั่น ที่ต่างจากทักษิณและพรรคเพื่อไทย

“แต่นายธนาธรและอนาคตใหม่ก็ต้องเผชิญมรสุมทางคดีอย่างหนักหนาสาหัส จนมองไม่ออกว่าจะจบลงอย่างไร”

ธนาธรและอนาคตใหม่ ไม่เหมือนทักษิณแน่ๆ และยืนยันต่อสู้ตามระบบต่อไป

แต่สำหรับสังคมไทย ทุกอย่างเหมือนภาพที่วนกลับไปซ้ำเมื่อปี 2549

ชาวบ้านจึงเกิดข้อสรุปแล้วว่า ทำไมฝ่ายหนึ่งต้องหนีคดี อีกฝ่ายไม่ต้องหนี!!